ติดกับดัก! Bitcoin ไซด์เวย์ เจอแรงเทขายกดดัน
บทวิเคราะห์จาก Glassnode บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลออนเชน ชี้ว่าตลาด Bitcoin กำลังเข้าสู่ภาวะอึดอัดจากพฤติกรรมผู้ถือครองและกระแสเงินทุนบนเครือข่าย โดยราคาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่เปราะบาง หลังถูกปฏิเสธที่แนวต้านใกล้ $93k และค่อยๆ ไหลลงมาที่ $85.6k ข้อมูล On-chain ล่าสุดจาก Glassnode ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันจาก ‘Overhead Supply’ หรืออุปทานส่วนเกินจำนวนมหาศาลที่รอขายอยู่ด้านบน ขณะที่ฝั่งผู้ซื้อยังคงพยายามตั้งรับที่แนวรับสำคัญ ทำให้ตลาดยังคงอยู่ในสภาวะที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
วิเคราะห์ Bitcoin: กำแพงซัพพลายมหาศาลกดดันราคา
สถานการณ์ของ Bitcoin ในปัจจุบันถูกนิยามว่าเป็น ‘Top-Heavy Market’ หรือตลาดที่มีแรงขายรออยู่ด้านบนจำนวนมาก เนื่องจากมีอุปทานหนาแน่นที่ถูกสะสมไว้โดยผู้ซื้อในช่วงราคา $93k–$120k ทำให้ทุกครั้งที่ราคาพยายามฟื้นตัว จะต้องเจอกับแรงเทขายที่กดดันเอาไว้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตราบใดที่ราคายังไม่สามารถกลับไปยืนเหนือระดับต้นทุนของผู้ถือระยะสั้น (Short-Term Holder Cost Basis) ที่ $101.5k ได้ ความเสี่ยงที่ราคา Bitcoin จะปรับตัวลงต่อก็ยังคงมีอยู่สูง

เพื่อชั่งน้ำหนักของแรงกดดันนี้ ข้อมูลเผยว่าปริมาณเหรียญที่อยู่ในสภาวะขาดทุน (Supply in Loss) ได้พุ่งขึ้นแตะระดับ 6.7 ล้าน BTC ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในวัฏจักรนี้ การที่ตัวเลขนี้ค้างอยู่ในช่วง 6-7 ล้าน BTC มาตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน สะท้อนภาพที่คล้ายกับช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ตลาดหมีในไซเคิลก่อนๆ ซึ่งเป็นช่วงที่ความอึดอัดของนักลงทุนก่อตัวขึ้น ก่อนจะนำไปสู่การยอมแพ้ (Capitulation) ที่รุนแรงขึ้นในราคาที่ต่ำกว่าเดิม
เปิดพฤติกรรมนักลงทุน Bitcoin: เมื่อความอดทนเริ่มหมดลง
แรงกดดันด้าน ‘เวลา’ กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด ข้อมูลชี้ว่าเหรียญที่ขาดทุนซึ่งเคยถูกถือโดยนักลงทุนหน้าใหม่ (Short-Term Holders) กำลังค่อยๆ ถูกนับเป็นเหรียญของนักลงทุนระยะยาว (Long-Term Holders) มากขึ้นเรื่อยๆ หมายความว่านักลงทุนที่ติดดอยเริ่มทนถือเหรียญที่ขาดทุนเป็นเวลานานขึ้น จากอุปทานที่ขาดทุนทั้งหมด 23.7% ของอุปทานหมุนเวียน แบ่งเป็น 13.5% ที่ถือโดยผู้ถือระยะสั้น และ 10.2% ถือโดยผู้ถือระยะยาว การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งชี้ว่านักลงทุนที่มีความเชื่อน้อยอาจเริ่มยอมตัดขาดทุน ซึ่งจะสร้างแรงขายเพิ่มเติมให้กับตลาด Bitcoin
พฤติกรรมการขายตัดขาดทุนนี้เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยข้อมูลจาก Supply by Investor Behavior ชี้ว่าปริมาณเหรียญที่ถูกถือโดยกลุ่ม ‘Loss Sellers’ หรือผู้ที่ขายในราคาขาดทุน ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 360,000 BTC แล้ว ดังนั้น หากราคา Bitcoin ไม่สามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญอย่าง True Market Mean ที่ $81.3k ได้ ก็มีความเสี่ยงสูงที่นักลงทุนกลุ่มนี้จะขยายตัวใหญ่ขึ้น และเพิ่มแรงเทขายเข้ามาซ้ำเติมโครงสร้างตลาดที่เปราะบางอยู่แล้ว

จับตาสัญญาณตลาด Bitcoin: Demand แผ่ว-Futures ชะลอตัว
เมื่อมองไปที่ตลาด Spot จะเห็นว่าแรงซื้อยังคงไม่สม่ำเสมอและขาดความต่อเนื่อง แม้จะมีแรงซื้อเข้ามาเป็นช่วงๆ แต่ก็ไม่สามารถผลักดันให้เกิดการสะสมเหรียญอย่างมีนัยสำคัญได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาปรับตัวลง ขณะที่กิจกรรมของกลุ่มบริษัทที่เข้าซื้อ Bitcoin เก็บเป็นสินทรัพย์ (Corporate Treasury) ยังคงเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว (Episodic) ไม่ได้เป็นแรงซื้อที่สม่ำเสมอพอที่จะพยุงโครงสร้างตลาดได้ ทำให้ราคา Bitcoin ยังคงต้องพึ่งพาสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์เป็นหลัก

ในฝั่งตลาด Futures เองก็ส่งสัญญาณการลดความเสี่ยง (De-Risking) อย่างต่อเนื่อง ปริมาณสัญญาซื้อขายล่วงหน้าคงค้าง (Open Interest) ลดลงจากจุดสูงสุดของไซเคิล สะท้อนว่านักเทรดกำลังลดโพสิชั่นมากกว่าจะเข้ามาเก็งกำไรเพิ่มเติม ประกอบกับ Funding Rates ที่เคลื่อนไหวใกล้ระดับเป็นกลาง บ่งชี้ว่าตลาดไม่ได้ถูกกดดันจากภาวะ Long ที่มากเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีแรงเก็งกำไรฝั่งซื้อเข้ามาช่วยหนุนราคาเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับตลาด Options ที่ตอกย้ำภาพการเคลื่อนไหวในกรอบราคาไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม

โดยสรุป ภาพรวมของตลาด Bitcoin ในช่วงนี้ยังคงสะท้อนภาวะเปราะบางอย่างชัดเจน แรงกดดันจากซัพพลายมหาศาลด้านบนยังไม่คลี่คลาย ขณะที่แรงซื้อใหม่ทั้งในตลาด Spot และ Futures ยังขาดความต่อเนื่อง ทำให้การฟื้นตัวของราคายังคงติดอยู่ในกรอบจำกัด
ในระยะสั้น ตลาดจะจับตาแนวรับสำคัญบริเวณ True Market Mean อย่างใกล้ชิด หากระดับนี้ยังสามารถยืนได้ อาจช่วยชะลอแรงขายและเปิดโอกาสให้ราคาแกว่งสะสมกำลังต่อไป แต่หากหลุดลงมา ความเสี่ยงของแรงขายจากนักลงทุนที่ขาดทุนก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีกขั้น