ตลาดกังวล Bitcoin อาจร่วง 71% แต่ Layer-2 นี้อาจพา BTC กลับสู่ขาขึ้น!

Bitcoin (BTC) อาจเผชิญการปรับฐานแรงถึง 71% ตามมุมมองของเทรดเดอร์ชื่อดัง Peter Brandt ซึ่งมองว่าราคามีโอกาสถอยจากแถว $86,000 ลงไปใกล้ $25,000 อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำนวนมากยังไม่เชื่อว่านี่จะเป็นจุดจบของ Bitcoin แต่อย่างใด

ในอีกมุมหนึ่ง ผู้สนับสนุน Bitcoin Hyper (HYPER) มองว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่ตัว Bitcoin เอง แต่คือข้อจำกัดด้านการใช้งานที่ผ่านมา โดย BTC ถูกมองเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงมากกว่าสกุลเงินที่นำไปใช้งานได้จริง และเมื่อเวลาผ่านไป ข้อจำกัดนี้ก็เริ่มส่งผลชัดขึ้น

HYPER เลือกแนวทางต่อยอดมากกว่าการเปลี่ยนกติกา ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อม Layer-2 ที่ช่วยให้ BTC ถูกนำไปใช้งานได้ในวงกว้าง เมื่อกิจกรรมบนเครือข่ายเพิ่มขึ้น Bitcoin จะถูกดึงเข้าสู่ระบบมากขึ้น ซึ่งช่วยล็อกมูลค่าไว้ และเปลี่ยนการใช้งานให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในระยะยาว

บทบาทนี้ส่งต่อมาถึง HYPER ซึ่งเป็นโทเค็นหลักของเครือข่าย โดยถูกออกแบบให้เติบโตไปพร้อมกับการใช้งาน BTC ภายในระบบ เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้อิงกับศักยภาพการใช้งานของ Bitcoin มากกว่าการขึ้นลงของราคาเพียงอย่างเดียว

แนวคิดดังกล่าวเริ่มได้รับการตอบรับอย่างจริงจัง เห็นได้จากพรีเซลของโครงการที่ระดมทุนไปแล้ว $29.5 ล้าน ขณะที่ความต้องการยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนการปรับราคาขึ้นในรอบถัดไป

ปัจจุบัน HYPER มีราคาอยู่ที่ $0.013455 ก่อนที่รอบพรีเซลถัดไปจะขยับราคาสูงขึ้น

แรงพุ่งแบบพาราโบลาของ Bitcoin เริ่มถูกทดสอบ!

หลังจาก Bitcoin เคยขึ้นไปแตะระดับ $94,000 เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ราคาเริ่มอ่อนตัวลงอีกครั้ง และกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะย้อนกลับไปทดสอบจุดต่ำสุดวันที่ 21 พฤศจิกายน แถว $82,000 จากระดับปัจจุบันราว $86,000

สถานการณ์นี้อาจไม่ไกลเกินจริงอย่างที่คิด เพราะ Peter Brandt มองว่า Bitcoin ได้หลุดผ่านแนวเทคนิคสำคัญแล้ว โดยเขาอธิบายว่านี่เป็นจุดที่ “โครงสร้างการขึ้นแบบพาราโบลาปัจจุบันถูกทำลาย”

ในอดีต วัฏจักรขาขึ้นของ Bitcoin มักเดินตามรูปแบบคล้ายกัน คือปรับขึ้นยาวและเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเส้นพาราโบลา ก่อนจะเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่เมื่อโครงสร้างดังกล่าวพังทลาย ทุกครั้งที่แนวโน้มพาราโบลิกถูกทำลาย มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของช่วงขาขึ้น มากกว่าจะเป็นการพักตัวชั่วคราว

Brandt ยังระบุเพิ่มเติมว่า แม้ศักยภาพการขึ้นราคาของ Bitcoin จะลดลงในแต่ละวัฏจักร แต่การปรับฐานหลังจากโครงสร้างพาราโบลิกพังยังคงรุนแรงเหมือนเดิม โดยในอดีต การลดลงของราคาถึง 60% ถึง 80% มักเกิดขึ้นหลังจากโครงสร้างนี้ล้มเหลว

เมื่อพิจารณาจากราคาสูงสุดล่าสุดของ Bitcoin ที่ใกล้กับ $126,000 กรอบการวิเคราะห์ของ Brandt ชี้ให้เห็นว่า ราคาอาจลดลงไปสู่ 20% ของจุดสูงสุดดังกล่าว หรือประมาณ $25,200 ซึ่งคิดเป็นการลดลงประมาณ 71% จากราคาปัจจุบันที่ราว $86,000

ในมุมมองนี้ คำเตือนของ Brandt ไม่ใช่การพูดถึงความผันผวนในระยะสั้น แต่เป็นการเตือนว่าหลังจากโครงสร้างพาราโบลิกถูกทำลาย ราคา Bitcoin มักจะดิ้นรนเพื่อหาจุดสมดุลจนกว่าจะมีแหล่งดีมานด์ใหม่ที่สามารถสนับสนุนตลาดได้อย่างยั่งยืน

คำถามสำคัญในตอนนี้คือ แหล่งดีมานด์ใหม่จะมาจากที่ใด นั่นเป็นเหตุผลที่นักลงทุนบางส่วนเริ่มหันไปมองโปรเจกต์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Bitcoin Hyper

Bitcoin Hyper เตรียมปูทางให้ Bitcoin ถูกใช้งานได้จริง

แนวคิดของโครงการ HYPER คือการมอง Bitcoin (BTC) ไม่ใช่แค่สินทรัพย์ที่ถือเก็บไว้เฉย ๆ แต่เป็นสิ่งที่สามารถทำหน้าที่เหมือนเงิน และถูกนำไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน

หัวใจสำคัญคือ Layer-2 ที่สร้างสภาพแวดล้อมการทำธุรกรรมความเร็วสูง บน Solana Virtual Machine (SVM) ช่วยให้แอปพลิเคชันประมวลผลธุรกรรมได้รวดเร็วและต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Bitcoin บน Base Layer ยังทำไม่ได้

คำถามสำคัญคือ จะเชื่อมสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันโดยไม่กระทบแก่นของ Bitcoin ได้อย่างไร คำตอบของ HYPER คือไม่เปลี่ยนจุดแข็งเดิมของ Bitcoin เพราะ Bitcoin ยังคงโดดเด่นด้านความกระจายศูนย์ ความปลอดภัย และความทนทานต่อการแก้ไข ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ควรถูกนำมาใช้ต่อยอด มากกว่าถูกดัดแปลง

แม้ Bitcoin และ Solana จะทำงานคนละระบบ แต่ Bitcoin Hyper ใช้ Canonical Bridge เป็นตัวเชื่อม โดยล็อก BTC ไว้บน Base Layer และออกเวอร์ชันที่ถูกห่อหุ้มเพื่อใช้งานบน Layer-2 เมื่อพ้นจากข้อจำกัดด้านความเร็ว BTC ก็สามารถหมุนเวียนและถูกใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบในสภาพแวดล้อมของ SVM

BTC บน Layer-2 นี้จะกลายเป็นสื่อกลางหลักของทั้ง Ecosystem เป็นสกุลเงินที่แอปต่าง ๆ ใช้ในการดำเนินงาน และหากการพัฒนาเป็นไปตามแผน พร้อมดึงดูดแอปที่ไม่ได้จำกัดแค่ผู้ใช้สายคริปโต แต่เข้าถึงผู้ใช้งานวงกว้างได้จริง ก็อาจสร้างดีมานด์ระยะยาวรูปแบบใหม่ให้กับ Bitcoin

ในภาพนั้น มูลค่าของ Bitcoin จะไม่ได้พึ่งพาแค่วัฏจักรราคาเหมือนที่ผ่านมา แต่จะมีฐานรองรับจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจจริง ซึ่งอาจเปลี่ยนบทบาทของ BTC ให้ก้าวไปไกลกว่าการเป็นเพียงสินทรัพย์เก็บมูลค่า

เข้าร่วมเหรียญต้นน้ำ HYPER ได้เปรียบยังไง?

จุดเด่นอย่างหนึ่งของ HYPER คือไม่ได้ยึดติดกับโทเค็นเดียว แต่สร้างระบบเศรษฐกิจแบบสองฝั่ง โดยให้แต่ละสินทรัพย์ทำหน้าที่ต่างกันอย่างชัดเจนภายใน Ecosystem

ฝั่งแรกคือ BTC ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเงินในระบบ เมื่อกิจกรรมบน Bitcoin Hyper เพิ่มขึ้น Bitcoin จะถูกใช้เป็นสินทรัพย์สำหรับชำระธุรกรรมและถ่ายโอนมูลค่าบน Layer-2 กลายเป็นแกนหลักที่ยึดมูลค่าของทั้งเครือข่ายไว้

ที่สำคัญคือ โทเค็น HYPER จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบบทั้งหมด ตั้งแต่การโหวต การนำไป Staking ไปจนถึงค่าธรรมเนียมธุรกรรม ดังนั้น เมื่อมีการใช้งานบนเครือข่ายมากขึ้น HYPER ก็จะเป็นตัวที่รับแรงเติบโตโดยตรงนั่นเอง

โครงสร้างลักษณะนี้ทำให้โมเดลของ HYPER ขยายตัวได้เร็ว แม้เพียงส่วนเล็ก ๆ ของ BTC ที่หมุนเวียนอยู่ ถูกดึงเข้ามาใช้งานในระบบ ก็อาจหมายถึงเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่ไหลผ่าน Ecosystem เลยทีเดียว

เมื่อระบบนิเวศเริ่มมีความสมบูรณ์มากขึ้น ความกดดันจะเคลื่อนตัวไปยังจุดที่เป็นปัญหา เช่น การดำเนินการ, ค่าธรรมเนียม, และการจัดการ นั่นคือจุดที่ HYPER เข้ามามีบทบาทสำคัญ

กลไกดังกล่าวช่วยหนุนความสนใจในรอบพรีเซลอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการสามารถระดมทุนไปแล้วกว่า $29.5 ล้าน และมีผู้เข้าร่วมจำนวนมากตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คริปโตชื่อดังอย่าง ClayBro และ Borch Crypto ก็ออกมาชี้ว่า HYPER อาจเป็นโครงการที่มีศักยภาพเติบโตอย่างมหาศาล หากสามารถดึงดูดการใช้งานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้