Ethereum ร่วงหนัก! เจาะลึกผลจาก ETF ไหลออก & Leverage ปะทุ

Ethereum (ETH) เผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก ขณะที่ตลาดคริปโตโดยรวมปรับตัวลดลง 1.5% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และดิ่งลงกว่า 4.1% ในรอบสัปดาห์ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาเหรียญหลัก ๆ

ปัจจัยสำคัญมาจากแรงกดดันสองด้าน ทั้งการไหลออกของเงินทุนจากกองทุน ETF ของสถาบัน และการล้างพอร์ตครั้งใหญ่ในตลาด Leverage ที่ทำให้สถานการณ์ของ ETH มีความผันผวนสูงขึ้น บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับราคา ETH อย่างละเอียด

เจาะสาเหตุหลัก: ทำไมราคา Ethereum ถึงปรับตัวลง?

ปัจจัยแรกที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงคือการไหลออกของเงินทุนสุทธิจาก Spot Bitcoin ETF มูลค่ากว่า 812 ล้านดอลลาร์ในวันเดียว ซึ่งเป็นการไหลออกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 เดือน แม้จะเป็นกองทุนของ BTC แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้สร้างบรรยากาศเชิงลบและกดดันตลาดคริปโตในภาพรวมไม่น้อย รวมถึง ETH ด้วยเช่นกัน

การเทขายของสถาบันเพื่อทำกำไรหลังจากตลาดปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ ได้ส่งสัญญาณให้เกิดแรงขายในวงกว้าง ทำให้ราคา ETH ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้

นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดคริปโตและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ โดยค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่าง BTC และดัชนี S&P 500 พุ่งสูงถึง 0.86 ซึ่งหมายความว่าเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวัง ตลาดคริปโตและราคาของ ETH ก็มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ETH ไม่ได้เป็นสินทรัพย์ที่แยกตัวออกจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคอีกต่อไป

ตลาด Leverage เดือด: การล้างพอร์ตครั้งใหญ่กระทบ Ethereum อย่างไร?

อีกหนึ่งปัจจัยที่ซ้ำเติมสถานการณ์คือการล้างพอร์ต (Liquidation) ของนักเทรดที่ใช้เลเวอเรจ (Leverage) สูง โดยข้อมูลล่าสุดเผยว่ามีโพสิชัน Long ในตลาด Bitcoin ถูกล้างไปกว่า 162 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 94% ของการล้างพอร์ตทั้งหมด แม้ตัวเลขจะเน้นที่ BTC แต่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วทั้งตลาด รวมถึงตลาดฟิวเจอร์สของ ETH ด้วย

การที่มีนักลงทุนเปิดสถานะ Long จำนวนมากโดยคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวขึ้นต่อ ทำให้ตลาดมีความเปราะบางสูง เมื่อราคา ETH เริ่มปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว จึงเกิดการบังคับขายสินทรัพย์เพื่อปิดโพสิชันที่ขาดทุน หรือที่เรียกว่า “Liquidation Cascade” ซึ่งเป็นการเทขายแบบลูกโซ่ที่ยิ่งทำให้ราคาของ ETH ดิ่งลงเร็วและรุนแรงยิ่งขึ้น

สถานการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักเทรดที่ใช้เลเวอเรจสูงในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน ดังนั้น ควรศึกษาเกี่ยวกับ “เลเวอเรจ” (leverage) อย่างละเอียดก่อนเสมอ และเลือกที่เหมาะกับตัวเอง

วิเคราะห์แนวโน้มราคา ETH และปัจจัยที่ต้องจับตา

แม้ว่าดัชนี RSI (Relative Strength Index) จะอยู่ในระดับที่เป็นกลาง แต่การสะสมของ Leverage ในตลาดยังคงเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด สำหรับแนวโน้มระยะสั้นของ ETH นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการไหลเข้า-ออกของเงินทุนในกองทุน ETF เพราะมันเป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบัน ดังนั้น หากการไหลออกของเงินทุนเริ่มชะลอตัวลง จึงจะมีโอกาสเป็นสัญญาณบวกต่อราคา ETH ได้

นอกจากนี้ ควรติดตามปริมาณสัญญาซื้อขายล่วงหน้าคงค้าง (Open Interest) ในตลาด ETH อย่างใกล้ชิด หากตัวเลขลดลงอาจหมายถึงแรงกดดันจากการเก็งกำไรที่ลดน้อยลง ซึ่งจะช่วยให้ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น

แม้จะมีความท้าทายรออยู่บ้างในะระยะสั้น แต่ศักยภาพในระยะยาวของ Ethereum ก็ยังคงน่าจับตามอง ด้วยพื้นฐานทางเทคโนโลยีและระบบนิเวศที่ดี นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดและพิจารณาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน และอย่าลืมกระจายพอร์ตการลงทุนเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วย!