RSI คือ: วิธีตั้งค่า RSI Indicator แบบมืออาชีพ เทรด Overbought/Oversold แม่นยำ

ในโลกของการเทรดและการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto) และฟอเร็กซ์ การมีเครื่องมือที่ช่วยในการวัด โมเมนตัม (Momentum) ของตลาดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง และเครื่องมือหนึ่งที่ได้รับการยอมรับและใช้งานอย่างแพร่หลายจากเทรดเดอร์ทั่วโลกคือ Relative Strength Index (RSI)
RSI คือ หนึ่งในตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicator) ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Oscillator Indicators ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย J. Welles Wilder Jr. ในปี ค.ศ. 1978 ผ่านหนังสือชื่อดัง “New Concepts in Technical Trading Systems” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดความเร็วและขนาดของการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด
ในฐานะอินดิเคเตอร์ RSI คือ เครื่องมือที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถประเมินได้ว่าสินทรัพย์นั้น ๆ ถูก “ซื้อมากเกินไป” หรือ “ขายมากเกินไป” แล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญที่อาจจะบอกถึงโอกาสในการกลับตัวของราคา ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าหรือออกได้อย่างถูกจังหวะเวลา
ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับ RSI Indicator ว่ามันคืออะไร? ค่า RSI คืออะไร และใช้ทำอะไร? เพื่อที่จะช่วยให้เพื่อนๆ สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับอินดิเคเตอร์ตัวนี้และใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ทำความเข้าใจพื้นฐานของ RSI Indicator และ ค่า RSI คืออะไร
RSI Indicator คือเครื่องมือที่จะแสดงผลเป็นเส้นกราฟที่แกว่งตัวอยู่ระหว่างค่า 0 ถึง 100 แต่ ค่า RSI คืออะไร? ค่านี้มาจากการคำนวณอัตราส่วนความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (Relative Strength – RS) ซึ่งเปรียบเทียบ “ค่าเฉลี่ยของราคาที่ปรับขึ้น (Average Gain) กับ ค่าเฉลี่ยของราคาที่ปรับลง (Average Loss) ในช่วงเวลาที่กำหนด (Period) โดยค่ามาตรฐานที่นิยมใช้คือ 14 ช่วงเวลา (14-period)
สูตรการคำนวณ RSI ที่เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องจำ แต่ควรเข้าใจหลักการคือ:

โดยที่:

สูตรนี้จะทำให้ค่า RSI อยู่ในช่วง 0-100 เสมอ ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถตีความและเปรียบเทียบได้ง่าย เมื่อมีการขึ้นราคามากกว่าการลงราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ค่า RSI จะสูงขึ้น และในทางกลับกัน หากมีการลงราคามากกว่า ค่า RSI จะต่ำลง
บทบาทหลักของ RSI ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ:
- การระบุสภาวะ Overbought และ Oversold
- การค้นหาสัญญาณเตือนการกลับตัวของแนวโน้มด้วย Divergence
- การช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มปัจจุบัน (Trend Confirmation)
ด้วยความเรียบง่ายและประสิทธิภาพ RSI จึงเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดพื้นฐานที่เทรดเดอร์ทุกระดับควรเรียนรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้
Overbought Oversold คืออะไร? วิธีการใช้ RSI หาจุดกลับตัวและสัญญาณเตือน
หัวใจหลักของการใช้ RSI คือการระบุโซนที่แสดงถึงความ “สุดโต่ง” ของราคา ซึ่งเป็นจุดที่ราคาอาจจะมีการ กลับตัว ในไม่ช้า แล้ว Overbought Oversold คืออะไร?
Overbought คืออะไร
สัญญาณ Overbought หรือ ซื้อมากเกินไป จะเกิดขึ้นเมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 แสดงว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา แรงซื้อมีความรุนแรงมาก ราคาถูกผลักขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตลาดอาจอยู่ในภาวะ “ร้อนแรง” เกินไป จุดนี้มักจะเป็นการบ่งบอกว่า:
- คนส่วนใหญ่ได้ซื้อสินทรัพย์ไปแล้ว
- มีโอกาสเจอแรงขายสูง
- ราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวลง (Pullback) หรือกลับตัว (Reversal)
Oversold คืออะไร
สัญญาณ Oversold หรือ ขายมากเกินไป เกิดขึ้นเมื่อ RSI มีค่าต่ำกว่า 30 แสดงว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา แรงขายมีความรุนแรงมาก ราคาถูกกดลงอย่างต่อเนื่อง และตลาดอาจอยู่ในภาวะ “ตื่นตระหนก” จุดนี้มักจะเป็นการบ่งบอกว่า:
- คนส่วนใหญ่ได้ขายสินทรัพย์ออกไปแล้ว
- แรงขายเบาลง
- ราคามีโอกาสที่จะเด้งกลับ (Rebound) หรือกลับตัวขึ้น

ตารางเปรียบเทียบสัญญาณในแต่ละช่วง
| โซน RSI | ระดับมาตรฐาน | ความหมายโดยทั่วไป | สัญญาณบ่งชี้ |
|---|---|---|---|
| Overbought | 70 – 100 | ราคาขึ้นเร็วเกินไป โมเมนตัมซื้ออ่อนแรง | สัญญาณเตือนขาย |
| Neutral | 30 – 70 | ตลาดมีสมดุล ไม่มีแรงซื้อ/ขายที่รุนแรง | ยังไม่มีสัญญาณชัดเจน |
| Oversold | 0 – 30 | ราคาลงเร็วเกินไป โมเมนตัมขายอ่อนแรง | สัญญาณเตือนซื้อ |
ความเสี่ยงของสัญญาณหลอก (False Signals)
ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยๆ ในบรรดาเทรดเดอร์มือใหม่ก็คือ การคิดว่า “หาก RSI สูงกว่า 70 = ขายทันที” หรือ “RSI ต่ำกว่า 30 = ซื้อทันที” ซึ่งอันที่จริงแล้ว นั่นเป็นความคิดที่ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เพราะการที่ RSI เข้ามาอยู่ในโซน Overbought หรือ Oversold ไม่ได้หมายความว่าราคาจะต้องกลับตัวทันทีเสมอไป
ในตลาดที่เป็น แนวโน้มแข็งแกร่ง (Strong Trend) เช่น ในช่วงขาขึ้นที่รุนแรง (Bull Market) RSI อาจจะอยู่ในโซน Overbought ได้เป็นเวลานาน หรือในทางกลับกัน ในช่วงขาลงที่รุนแรง (Bear Market) RSI ก็สามารถคงอยู่ในโซน Oversold ได้เป็นเวลานานเช่นกัน
ดังนั้น เทรดเดอร์จึงควรใช้ RSI ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น Trendlines (เส้นแนวโน้ม), Support/Resistance (แนวรับ/แนวต้าน), Moving Averages (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่), Volume (ปริมาณการซื้อขาย) ฯลฯ เพื่อเป็นการยืนยันสัญญาณ
นอกจากนี้ สำหรับนักเทรดคริปโต การใช้ RSI ร่วมกับแพลตฟอร์มอย่าง Best Wallet ที่ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบและจัดการสินทรัพย์ของคุณได้อย่างรวดเร็วจะช่วยให้คุณติดตามและวิเคราะห์สัญญาณ Overbought/Oversold ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาการเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนสูง การมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์กราฟคริปโตและส่งสัญญาณได้ทันท่วงที จะช่วยเพิ่มโอกาสในการจับจังหวะเข้าออกตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ตั้งค่า RSI เท่าไหร่ดี? เปรียบเทียบ RSI 7 vs RSI 14 และการตั้งค่ามืออาชีพสำหรับ Bitcoin RSI
คำถามที่พบบ่อยสำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้ RSI คือ RSI ตั้งค่าเท่าไหร่ดี? ค่ามาตรฐานที่ J. Welles Wilder Jr. แนะนำคือ 14 ช่วงเวลา (Period) อย่างไรก็ตาม คุณสามารถปรับแต่งมันได้ขึ้นอยู่กับ สไตล์การเทรดและกรอบเวลา ที่คุณเลือกใช้งาน
RSI 14: มาตรฐานสากล
RSI 14 (14-period RSI) เป็นค่าที่ Wilder กำหนดไว้เป็นค่าตั้งต้น และเป็นมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด เหมาะสำหรับ:
- Swing Trading และ Position Trading
- Timeframe: 4 ชั่วโมง, Daily, Weekly
- ให้สัญญาณที่สมดุลระหว่างความไวและความน่าเชื่อถือ
- สัญญาณหลอก (False Signals) น้อย
RSI 7: เหมาะสำหรับ Short-Term Trading
RSI 7 เป็นการตั้งค่าที่สั้นกว่า ทำให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาได้รวดเร็วมากขึ้น เหมาะสำหรับ:
- Scalping และ Day Trading
- Timeframe: 1 นาที, 5 นาที, 15 นาที
- จับโมเมนตัมระยะสั้นได้ดี
- แต่มีสัญญาณหลอก (False Signals) มากกว่า RSI 14
ตารางเปรียบเทียบระหว่าง RSI 7 และ RSI 14 แบบคร่าวๆ
| คุณสมบัติ | RSI 7 (สั้น) | RSI 14 (มาตรฐาน) |
|---|---|---|
| ความอ่อนไหว | สูง (ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา) | ปานกลาง (สัญญาณมีความสมดุล) |
| สัญญาณ | เร็ว (เหมาะสำหรับการเทรดเร็ว/Scalping) | ช้า (เหมาะสำหรับการเทรด Swing Trade/ระยะกลาง) |
| ความถี่ของสัญญาณ | สัญญาณ Overbought/Oversold เกิดขึ้นบ่อย | สัญญาณ Overbought/Oversold เกิดขึ้นน้อยกว่า |
| ความเสี่ยงสัญญาณหลอก | สูง (มีสัญญาณรบกวนมาก) | ต่ำกว่า (สัญญาณมีความน่าเชื่อถือกว่า) |
จากตารางจะเห็นว่า RSI 7 กับ RSI 14 มีความแตกต่างหลักที่ “ความไว” ของการตอบสนองต่อราคา RSI 7 นั้นตอบสนองเร็วมาก ส่งผลให้เมื่อราคาขยับเพียงเล็กน้อย RSI ก็จะขึ้นหรือลงตามทันที ซึ่งช่วยให้เราจับสัญญาณการกลับตัวระยะสั้นได้ไว แต่ ข้อเสียคือมันอาจส่งสัญญาณหลอกบ่อย เพราะ ความผันผวนเล็กๆ น้อยๆ ก็ส่งผลให้ RSI แกว่งแรง จนอาจตีความผิดได้ง่าย
ในทางกลับกัน RSI 14 ซึ่งถือเป็นค่ามาตรฐานนั้นให้สัญญาณที่ “เรียบง่าย” กว่า การแกว่งของ RSI จะช้าลงเพราะใช้ข้อมูล 14 ช่วงรวมกัน ทำให้ ลดความผันผวนของสัญญาณ ไปในตัว เราจึงได้สัญญาณ Overbought/Oversold ที่นานๆ จะมาครั้ง แต่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากขึ้น เหมาะกับการซื้อขายที่กินระยะเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์
แล้วควรเลือก RSI เท่าไหร่ดี? คำตอบขึ้นอยู่กับสไตล์และกลยุทธ์ของคุณเอง ไม่มีค่าที่ดีที่สุดแบบตายตัว สำหรับทุกคน ถ้าจะให้แนะนำ นักเทรดมือใหม่ส่วนใหญ่ควรเริ่มที่ RSI 14 ซึ่งเป็นมาตรฐาน เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของ RSI ก่อน เนื่องจากค่ามาตรฐานนี้ให้สมดุลที่ดีระหว่างจำนวนสัญญาณกับความแม่นยำ (สัญญาณไม่ถี่หรือถี่เกินไป) เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น คุณอาจลองปรับลดหรือเพิ่ม period เพื่อปรับให้เข้ากับสินทรัพย์ที่คุณเทรดและกรอบเวลาที่ใช้
การตั้งค่า RSI สำหรับ Bitcoin และ Crypto
สำหรับตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่าง ตลาด Crypto หรือ Bitcoin RSI ควรมีการปรับเปลี่ยนการตั้งค่าเพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมของสินทรัพย์นั้น ๆ:
- การปรับโซน Overbought/Oversold: สำหรับตลาด Crypto ที่วิ่งขึ้นลงรุนแรง บางครั้งการใช้ 70/30 อาจทำให้พลาดโอกาสได้ ถ้างั้น RSI ตั้งค่าเท่าไหร่ดี? เทรดเดอร์อาจพิจารณาการใช้โซน 80/20 แทน เพื่อรอสัญญาณ Overbought/Oversold ที่รุนแรงกว่าและลดโอกาสเจอสัญญาณหลอก
- การใช้ Period ที่ยาวขึ้น: ในกรณีที่ต้องการเทรดตามแนวโน้มหลัก (Trend Trading) การใช้ค่า RSI 14-20 จะสามารถช่วยให้เทรดเดอร์โฟกัสไปที่โมเมนตัมระยะยาว และหลีกเลี่ยงการเทรดสวนแนวโน้มหลัก (Counter-Trend) ได้ดีมากยิ่งขึ้น
- การปรับค่าตาม Timeframe: RSI ที่ใช้ในการเทรดรายวันอาจไม่เหมาะกับการเทรดรายสัปดาห์ ดังนั้น การทดลองและค้นหาค่า RSI ที่เหมาะสมกับคู่สินทรัพย์และกรอบเวลาที่คุณเทรดอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น การตั้งค่าที่เหมาะสมที่สุดคือการตั้งค่าที่ให้สัญญาณที่สอดคล้องกับกลยุทธ์และความเสี่ยงที่คุณรับได้
และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือ ห้ามลืมทำ Backtesting เด็ดขาด การทดลองกับข้อมูลในอดีตก่อนนำไปใช้จริง จะช่วยให้คุณสามารถดูได้ว่าค่าที่เลือกให้น้ำหนักสัญญาณอย่างไรบ้าง และเมื่อปรับค่า RSI แล้วควรสังเกตพฤติกรรมของมันควบคู่กับผลการเทรดของคุณอย่างต่อเนื่อง
RSI Divergence คืออะไร? และขั้นตอนการตั้งค่า RSI ใน Streaming, TradingView, และ MT5
เมื่อใช้งาน RSI ไปสักระยะ คุณจะพบกับแนวคิดที่มีประโยชน์มากในการวิเคราะห์โมเมนตัมของราคา และหนึ่งในการใช้งาน RSI ขั้นสูงที่สุดและถือเป็นสัญญาณเตือนที่แม่นยำที่สุดอย่างหนึ่งคือการมองหา RSI Divergence
RSI Divergence คืออะไร?
Divergence นั้นแปลว่า “ความขัดแย้ง” หรือ “ความแตกต่าง” ส่วน RSI Divergence คือ สภาวะที่ทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาของสินทรัพย์ “ขัดแย้ง” กับทิศทางการเคลื่อนที่ของ RSI Indicator ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าแนวโน้มปัจจุบันกำลังอ่อนแรงและมีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัว (Reversal) ในไม่ช้า
สัญญาณ Divergence จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ Bullish Divergence และ Bearish Divergence:

1. Bullish Divergence (สัญญาณขาขึ้น)
เกิดขึ้นเมื่อกราฟ ราคา ทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Low) แต่กราฟ RSI กลับทำจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Low) เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์นี้หมายความว่า แม้ราคาจะลงทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ แรงขายเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง (เพราะ RSI ไม่ลงต่ำตามราคา) จึงบ่งบอกถึงโอกาสที่แนวโน้มขาลงกำลังสูญเสียโมเมนตัมและราคามีโอกาสจะกลับทิศขึ้น (กลับตัวเป็นขาขึ้น) ในไม่ช้า

2. Bearish Divergence (สัญญาณขาลง)
ตรงข้ามกับแบบแรก คือเกิดเมื่อกราฟ ราคา ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม (Higher High) แต่กราฟ RSI กลับทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower High) ไม่สามารถขึ้นไปสูงเท่าจุดสูงสุดก่อนหน้าได้ ภาวะนี้ชี้ว่าแม้ราคาจะวิ่งขึ้นต่อเนื่อง แต่ แรงซื้อเริ่มอ่อนกำลัง (เพราะ RSI ไม่ขึ้นตาม) เป็นสัญญาณว่าโมเมนตัมขาขึ้นเริ่มแผ่วลง มีโอกาสที่ราคาจะหยุดขึ้นและกลับตัวลงมาได้ สถานการณ์ Bearish Divergence นี้เป็นการเตือนให้นักลงทุนระมัดระวัง และอาจพิจารณา “ขาย” เพื่อล็อกกำไรก่อนที่ราคาจะเปลี่ยนทิศเป็นขาลง
การยืนยันสัญญาณ Divergence ให้แม่นยำยิ่งขึ้น
แม้ว่า Divergence จะเป็นสัญญาณกลับตัวที่หลายคนใช้กัน แต่การใช้เครื่องมืออื่นๆ เพื่อช่วย “ยืนยันสัญญาณ” เพิ่มเติมจะช่วยลดสัญญาณหลอก (Fake Signal) ได้เป็นอย่างมาก เทรดเดอร์มือเก๋าจึงมักจะตรวจสอบ RSI Divergence ร่วมกับปัจจัยเหล่านี้:
- Volume เพิ่มขึ้นผิดปกติ (Volume Spike): หากเกิด Divergence พร้อมกับปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด มักจะเป็นสัญญาณที่แสดงว่าแรงซื้อหรือแรงขายจริงเริ่มเข้ามาชัดเจน ช่วยเพิ่มโอกาสที่การกลับตัวจะเกิดขึ้นจริง
- แท่งเทียนยืนยัน (Candlestick Confirmation): รอสัญญาณจากรูปแบบกราฟแท่งเทียน เช่น Pin Bar, Hammer, หรือ Engulfing เพื่อช่วยยืนยันว่าฝั่งตรงข้ามกำลังเริ่มควบคุมราคา ช่วยให้สามารถเข้าออเดอร์อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
- ใกล้โซนแนวรับ–แนวต้านสำคัญ (Support/Resistance): Divergence ที่เกิดบริเวณ Support หรือ Resistance ใหญ่ ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าปกติ เพราะราคาอาจจะพร้อมกลับทิศตามแรงซื้อ–ขายที่มักเกิดในบริเวณเหล่านี้
- การทะลุเส้นแนวโน้ม (Break Trendline): หลังเกิด Divergence เทรดเดอร์หลายคนจะรอให้ราคา “ทะลุ Trendline” ก่อนคอนเฟิร์มว่าทิศทางกำลังเปลี่ยนจริง เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ช่วยกรองความเสี่ยงจากการรีบเข้าเร็วเกินไป
ขั้นตอนการตั้งค่า RSI ใน Streaming, TradingView, และ MT5
เพื่อให้เพื่อนๆ สามารถนำ RSI ไปใช้งานได้ทันที นี่คือขั้นตอนการตั้งค่าในแพลตฟอร์มยอดนิยมต่างๆ
1. ตั้งค่า RSI ใน Streaming (สำหรับตลาดหุ้นไทย)
- เปิดโปรแกรม Streaming หรือ Streaming Mobile
- เข้าสู่หน้า Chart Analysis
- คลิกที่ปุ่ม “Indicator” หรือ “Add Indicator”
- เลือกกลุ่ม “Momentum” หรือค้นหา “RSI”
- การตั้งค่า: คลิกที่สัญลักษณ์รูปฟันเฟือง หรือเลือก “Properties” ของ RSI
- ปรับค่า “Period” (โดยปกติคือ 14) และระดับ “Upper Band” (70) และ “Lower Band” (30)
- คลิก “Apply” หรือ “OK” เพื่อแสดงผล
หากใช้งาน Streaming แล้วไม่พบเมนูตามขั้นตอนข้างต้น อาจลองค้นหาในส่วนเมนู “Tools” หรือ “Settings” ของหน้ากราฟ เพราะแต่ละเวอร์ชันของแอปอาจมีตำแหน่งเมนูต่างกันเล็กน้อย แต่หลักการคือให้หาเมนูที่รวมอินดิเคเตอร์เทคนิค แล้วเลือก RSI จากที่นั่น เมื่อเพิ่มสำเร็จแล้ว RSI จะโชว์เป็นกราฟเส้นใต้กราฟราคาโดยอัตโนมัติ
2. ตั้งค่า RSI ใน TradingView
- เปิดหน้าจอ Chart (กราฟ) ที่ต้องการวิเคราะห์
- คลิกที่ปุ่ม “Indicators” (หรือพิมพ์
/) ที่แถบเครื่องมือด้านบน - ในช่องค้นหา (Search Box) พิมพ์ “Relative Strength Index” หรือ “RSI”
- คลิกเลือก “Relative Strength Index” (โดย J. Welles Wilder)
- การปรับแต่ง: คลิกที่ไอคอน “Settings” (รูปฟันเฟือง) บนตัว RSI Indicator ที่ปรากฏด้านล่างกราฟ
- แท็บ “Inputs”: สามารถปรับค่า “Length” (Period) ได้ (ค่ามาตรฐานคือ 14)
- แท็บ “Style”: สามารถปรับสีเส้น, ความหนา, และระดับเส้น Overbought (70) และ Oversold (30) ได้
TradingView มีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การตั้งค่า Alert แจ้งเตือนเมื่อ RSI เข้าเขต Overbought/Oversold หรือการเพิ่มเส้นกึ่งกลาง (50) เพื่อดูโมเมนตัมโดยรวม นักเทรดสามารถทดลองใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ได้ นอกจากนี้ TradingView ยังให้คุณเพิ่มอินดิเคเตอร์หลายตัวพร้อมกัน ดังนั้นอาจลองใช้ RSI คู่กับอินดิเคเตอร์อื่นๆ (เช่น MACD หรือ Moving Average) ในหน้าจอเดียวเพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
3. ตั้งค่า RSI ใน MT5 (MetaTrader 5)
- เปิดโปรแกรม MT5 และเลือกกราฟที่ต้องการ
- คลิกที่เมนู “Insert”
- เลื่อนเมาส์ไปที่ “Indicators” $\rightarrow$ “Oscillators” $\rightarrow$ เลือก “Relative Strength Index”
- หน้าต่างการตั้งค่าจะปรากฏขึ้น
- Parameters: ปรับค่า “Period” (ค่ามาตรฐานคือ 14)
- Levels: สามารถปรับระดับ Overbought (ค่ามาตรฐาน 70) และ Oversold (ค่ามาตรฐาน 30) ได้ที่นี่
- คลิก “OK” เพื่อเพิ่ม RSI ลงในกราฟ
ใน MT5 คุณยังสามารถ ใส่อินดิเคเตอร์ซ้อนบนอินดิเคเตอร์ ได้ เช่น บางกลยุทธ์อาจใช้เส้น Moving Average กับ RSI (กรณีขั้นสูง) หรือใช้อินดิเคเตอร์อื่นร่วมด้วย MT5 มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับแต่ง ดังนั้นหลังจากเพิ่ม RSI แล้ว ลองศึกษาฟังก์ชันเพิ่มเติมของ MT5 เพื่อปรับอินดิเคเตอร์ให้ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด
สรุปส่งท้าย
RSI (Relative Strength Index) คือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลังและเป็นที่นิยมสูงสุดในหมู่นักเทรดทั่วโลก การเข้าใจว่า RSI คืออะไร ทำความเข้าใจความหมายของ ค่า RSI และวิธีการใช้ RSI Indicator อย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอินดิเคเตอร์ใดที่การันตีผล 100% การบริหารความเสี่ยงและวินัยในการเทรดจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญควบคู่ไปกับการใช้ RSI เสมอ เมื่อคุณเข้าใจและฝึกฝนใช้งาน RSI จนชำนาญแล้ว อินดิเคเตอร์ตัวนี้จะกลายเป็นเครื่องมือคู่ใจ ที่ช่วยยกระดับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนของคุณอย่างแน่นอน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- The Range Reversal RSI Technique – by Sofien Kaabar, CFA
- RSI Indicator: Buy and Sell Signals
- How to Use Divergence for BYBIT:BTCUSDT by ArtemFuturesTrading — TradingView
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ RSI Indicator