Bitcoin ยังซึมต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญเผย 3 สาเหตุฉุดราคา BTC

ตลาดคริปโตเผชิญกับแรงกดดันอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคา Bitcoin (BTC) ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือนที่ 92,985.92 ดอลลาร์ ก่อนจะฟื้นตัวเล็กน้อย ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมลดลงจาก 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ราว 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 7 วัน ตามข้อมูลจาก CoinMarketCap ท่ามกลางความผันผวนนี้ ผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารในวงการต่างออกมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุเบื้องหลัง พร้อมทั้งแสดงความมั่นใจว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฏจักรปกติของตลาดคริปโตเท่านั้น

วิเคราะห์ปัจจัยลบกดดันราคา Bitcoin: แรงเทขายและเงินทุนไหลออก
Ryan McMillin ซึ่งเป็น CIO ของ Merkle Tree Capital ชี้ว่าภาวะตลาดซบเซาไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลพวงจากหลายสาเหตุประกอบกัน
ข้อมูล On-chain แสดงให้เห็นว่านักลงทุนระยะยาว (Long-term holders) หรือ ‘วาฬ’ เริ่มทยอยขายทำกำไรหลังจากราคาพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน Spot Bitcoin ETF ที่เคยเป็นแรงซื้อสำคัญในช่วงต้นปีกลับมียอดเงินไหลออกสุทธิ (net outflows) สวนทางกับช่วงก่อนหน้า
McMillin สรุปว่า “เหรียญเก่าถูกกระจายออกมาในช่วงที่ตลาดมีแรงซื้ออ่อนตัวลง ประกอบกับสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่เอื้ออำนวยเหมือนเมื่อ 6 เดือนก่อน”
นอกจากนี้ ปัจจัยมหภาคยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญ Holger Arians ซึ่งเป็น CEO ของ Banxa กล่าวว่าตลาดกำลังเผชิญกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่คลี่คลายและในบางกรณีถึงขั้นทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่ความหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยถูกเลื่อนออกไป ทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นแบบ Risk-off หรือการหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
มุมมองจากผู้บริหาร: วัฏจักร 4 ปี และ Market Maker
Hunter Horsley ซึ่งเป็น CEO ของ Bitwise Asset Management ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจผ่าน X ว่าหนึ่งในสาเหตุอาจมาจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘วัฏจักร 4 ปี’ (four-year cycle narrative) ที่ทำให้นักเทรดเกิดความกลัวว่าจะเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ทุกๆ สองสามปี และความกลัวนี้เองที่กระตุ้นให้เกิดการเทขายและกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดปรับตัวลงจริง
ในขณะที่ Tom Lee ประธานของ BitMine มองว่าอาจมี Market Maker (ผู้ให้สภาพคล่องในตลาดที่ทำหน้าที่วางออเดอร์ซื้อ–ขายตลอดเวลาเพื่อให้การเทรดลื่นไหล) ที่กำลังประสบปัญหา “ช่องโหว่ขนาดใหญ่” ในงบดุลของตัวเอง และกำลังตกเป็นเป้าของนักลงทุนรายใหญ่ (sharks) ที่จ้องจะโจมตีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการบังคับขาย (liquidations) ซึ่งเป็นอีกทฤษฎีที่อธิบายแรงเทขายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
สัญญาณบวกซ่อนอยู่? ทำไมตลาด BTC ยังไม่น่ากังวล
แม้ราคาจะปรับตัวลง แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังมองเห็นสัญญาณบวก Matt Poblocki ผู้จัดการทั่วไปของ Binance Australia and New Zealand ย้ำว่า “การปรับฐานแรงๆ แบบนี้เป็นเรื่องปกติของวัฏจักรตลาด” สิ่งสำคัญคือยังคงเห็น “นักลงทุนรายย่อย” ยังคงอยู่ในตลาดและโยกย้ายการลงทุนไปยังสินทรัพย์บลูชิปอย่าง Bitcoin และ Ethereum แทนที่จะถอนตัวออกจากตลาดโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความเชื่อมั่นในระยะยาว
Holger Arians จาก Banxa เสริมว่าปัจจัยพื้นฐานของตลาดยังคงแข็งแกร่งและเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น, Use case ในโลกจริงที่มากขึ้น และการที่สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi) กระโดดเข้ามาในโลกคริปโตอย่างต่อเนื่อง
“แม้ราคาจะดูอ่อนตัว แต่โครงสร้างพื้นฐานเบื้องหลังไม่เคยแข็งแกร่งเท่านี้มาก่อน ทั้งปริมาณ Stablecoin, กิจกรรมบน On-chain และการพัฒนาโปรเจกต์ต่างๆ ล้วนเติบโตอย่างเงียบๆ” – Holger Arians กล่าว
ตลาด BTC แกร่งกว่าเดิม: สัญญาณการเติบโตสู่สินทรัพย์กระแสหลัก
McMillin ได้แสดงความเห็นที่สอดคล้องกับนักวิเคราะห์มหภาคอย่าง Jordi Visser ว่านี่คือการเปลี่ยนมือของเหรียญจากผู้ถือครองเก่าไปยังนักเทรดรุ่นใหม่
เขาชี้ว่า “ในวัฏจักรก่อนๆ หากมีการเทขายจากผู้ถือครองระยะยาวในระดับนี้ เราคงได้เห็นการปรับฐานรุนแรงถึง 70-80% ไปแล้ว” แต่ในครั้งนี้ แม้จะมีการกระจายเหรียญจากกลุ่ม OG (Original Gangster) อย่างหนัก แต่ราคากลับลดลงน้อยกว่ามาก
เหตุผลสำคัญคือช่องทางการลงทุนใหม่ๆ อย่าง ETF และสถาบันการเงินมีความต้องการซื้อที่ “ลึกพอที่จะดูดซับอุปทานเหล่านั้นได้” McMillin สรุปว่านี่คือสัญญาณของตลาดที่เติบโตเต็มที่ขึ้น (maturing market) และเป็นการเคลื่อนย้ายเหรียญที่จำเป็นจากคนส่วนน้อยไปสู่คนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตของ BTC ในอนาคต
จับตา Bitcoin Hyper เหรียญทางเลือกมาแรง สวนกระแส BTC
ในช่วงที่ตลาด BTC แกว่งตัวแรง กลับมีโปรเจกต์หนึ่งที่สวนกระแสจนกลายเป็นกระแสร้อนแรงทันที นั่นคือ Bitcoin Hyper ($HYPER) โปรเจกต์ Layer-2 ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่ถึง 4 เดือนแต่กวาดเงินทุนไปแล้วราว 28 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่ากระแสความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลกกำลังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

หัวใจสำคัญของโปรเจกต์นี้คือการใช้ Solana Virtual Machine (SVM) มายกระดับเครือข่าย Bitcoin ให้เร็วขึ้นแบบก้าวกระโดด รองรับความเร็วหลายหมื่นธุรกรรมต่อวินาที พร้อมค่าธรรมเนียมขั้นต่ำไม่ถึง 0.001 ดอลลาร์ ทำให้ BTC สามารถใช้งาน DeFi, dApps และ NFT ได้อย่างเต็มรูปแบบ
จุดนี้เองที่ทำให้หลายคนมองว่า HYPER อาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกน่าลงทุนของรอบนี้ โดยเฉพาะเมื่อโปรเจกต์เสนอผลตอบแทนจากการ Staking สูงถึง 41% ต่อปี เพื่อดึงดูดการถือยาวและเสริมความแข็งแรงให้ระบบ ecosystem
ตอนนี้เหรียญ Presale ยังขายอยู่ที่ราว $0.013445 ซึ่งถือเป็นจุดเข้าที่หลายคนมองว่าคุ้มเมื่อเทียบกับศักยภาพข้างหน้า ใครสนใจสามารถอ่านบทวิเคราะห์ Bitcoin Hyper หรือดูขั้นตอนวิธีซื้อเหรียญแบบง่ายๆ รวมถึงติดตามอัปเดตล่าสุดได้จาก X และ Telegram ของโปรเจกต์
ยอดระดมทุนล่าสุด
ราคาจะถูกปรับขึ้นอีกครั้งภายใน: