เปิดโผ! ทีม Trump ถือคริปโตอื้อซ่า มูลค่ากว่า $193M
รายงานล่าสุดจาก The Washington Post เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลเกือบ 70 คน มีการถือครองสินทรัพย์คริปโตหรือลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี รวมมูลค่าขั้นต่ำกว่า 193 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในทัศนคติและนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อโลกคริปโต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อนักลงทุนและทิศทางของตลาดคริปโตทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
เปิดพอร์ตคริปโตทีม Trump: ขุมทรัพย์ดิจิทัลมูลค่ามหาศาล
ข้อมูลจากการตรวจสอบเอกสารแสดงบัญชีทรัพย์สินพบว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เองมีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนตัวอย่างน้อย 51 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนการปฏิวัติวงการคริปโตอย่างเต็มตัว นอกจากนี้ รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ และสมาชิกรัฐสภาอีก 7 คน ยังเปิดเผยว่ามีการถือครองคริปโตในวอลเล็ตรวมกันอีกอย่างน้อย 2 ล้านดอลลาร์ การลงทุนในคริปโตของทีมงานทรัมป์นั้นมีตั้งแต่จำนวนเล็กน้อยไปจนถึงระดับ 120 ล้านดอลลาร์ต่อคนเลยทีเดียว

ที่มา: Washingtonpost.com
การเปิดเผยครั้งนี้ถือเป็นหลักไมล์สำคัญของวงการคริปโต ที่พยายามผลักดันตัวเองให้เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ถูกกฎหมายเทียบเท่ากับสินทรัพย์ประเภทอื่นมานานหลายปี จำนวนเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เข้ามาพร้อมกับพอร์ตการลงทุนคริปโตขนาดใหญ่ สะท้อนให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ทางการเงินของกลุ่มผู้มีอำนาจในสหรัฐฯ ไปแล้ว ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรัฐบาลชุดก่อนหน้าที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดรายงานการถือครองคริปโตเลย
นโยบายรัฐบาลใหม่เอื้อตลาดคริปโตอย่างไร?
การที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงจำนวนมากมีผลประโยชน์ทางการเงินในตลาดคริปโต ส่งผลโดยตรงต่อนโยบายของรัฐบาลที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลทรัมป์มีแนวทางที่ผ่อนปรนต่อการกำกับดูแลสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น โดยมีคำสั่งให้ระงับหรือยกเลิกการฟ้องร้องคดีกับบริษัทคริปโตกว่าสิบคดี ซึ่งเป็นการกลับลำจากยุคของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้อุตสาหกรรมคริปโตเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังจะเห็นได้จากราคา Bitcoin ที่พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีนี้
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังสนับสนุนนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมคริปโตโดยตรง เช่น การผลักดันกฎหมาย GENIUS Act เพื่อกำกับดูแล Stablecoin ที่เพิ่งผ่านสภาคองเกรสสำเร็จ และการสั่งให้กระทรวงการคลังจัดตั้งคลังสำรอง Bitcoin ของประเทศ ควบคู่ไปกับทองคำและสินทรัพย์สำรองอื่น ๆ นโยบายเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความชอบธรรมให้กับตลาดคริปโต แต่ยังอาจส่งผลให้ผู้ที่ถือครองคริปโตอยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงตัวทรัมป์และทีมงาน ได้รับผลประโยชน์ทางการเงินอย่างมหาศาล
หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนคือซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการสนับสนุนนวัตกรรมด้านบล็อกเชนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
เจาะลึก! รัฐมนตรีคนสำคัญกับการลงทุนในโลกคริปโต
การลงทุนในคริปโตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ทั่วไป แต่ยังรวมถึงบุคคลสำคัญในคณะรัฐมนตรีมากกว่าหนึ่งในสาม เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดี รายงานการถือครอง Bitcoin มูลค่าระหว่าง 250,001 ถึง 500,000 ดอลลาร์ และยังมีบทบาทสำคัญในการระดมทุนจากอุตสาหกรรมคริปโตเพื่อสนับสนุนทรัมป์อีกด้วย สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็เคยรายงานการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าสูงถึง 500,000 ดอลลาร์ ก่อนที่จะขายออกไปเมื่อเข้ารับตำแหน่ง
ที่น่าสนใจคือ เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงและข่าวกรองก็มีการลงทุนในคริปโตเช่นกัน เช่น พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ ทัลซี แกบเบิร์ด ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ แต่ผู้ที่ถือครองคริปโตมากที่สุดในคณะรัฐมนตรีคือ โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ ซึ่งเปิดเผยว่ามีพอร์ตคริปโตมูลค่าระหว่าง 1 ถึง 5 ล้านดอลลาร์
ตารางทรัพย์สินคริปโตที่ถือครองโดยคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่รัฐบาล Trump

ที่มา: Washingtonpost.com
ผู้คุมกฎก็เล่นด้วย: เมื่อคนในวงการคริปโตคุมนโยบาย
ปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองคือการที่บุคคลซึ่งเคยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและคริปโต ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญที่มีอำนาจในการกำกับดูแลนโยบายการเงินและเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น บิล พัลเต ผู้อำนวยการหน่วยงานการเงินเพื่อการเคหะแห่งชาติ (FHFA) ซึ่งมีพอร์ตคริปโตมูลค่า 1-2 ล้านดอลลาร์ ได้สั่งการให้หน่วยงานในกำกับเริ่มนับรวมคริปโตเป็นสินทรัพย์ในการประเมินความเสี่ยงสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นการเพิ่มความชอบธรรมให้กับสินทรัพย์คริปโตอย่างมาก
นอกจากนี้ยังมีบุคคลจากซิลิคอนแวลลีย์ที่เคยทำงานกับบริษัทร่วมลงทุนที่เน้นด้านบล็อกเชนและคริปโต ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงโชคชะตาที่เปลี่ยนไปของอุตสาหกรรมคริปโตภายใต้รัฐบาลทรัมป์ หลังจากที่เคยถูกตรวจสอบอย่างหนักในยุคก่อนหน้า โดยเฉพาะหลังการล่มสลายของ FTX ตลาดคริปโตชื่อดังในปี 2022
ผลประโยชน์ทับซ้อน? เสียงวิจารณ์ต่อนโยบายคริปโตของ Trump
การที่เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากถือครองคริปโตได้ก่อให้เกิดคำถามและข้อกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน นักวิจารณ์และกลุ่มเคลื่อนไหวอย่าง Public Citizen มองว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลทรัมป์และอุตสาหกรรมคริปโตนั้นเป็นแบบ “พึ่งพาอาศัยกัน” ซึ่งอาจนำไปสู่การออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องมากกว่าประโยชน์สาธารณะ
ข้อกังวลเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการคริปโตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนโยบายเศรษฐกิจในภาพรวมด้วย ดังที่มี การวิเคราะห์เรื่องการควบคุมตลาดหุ้นในยุครัฐบาล Trump เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนโยบายของตน
ดอน ฟ็อกซ์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานจริยธรรมของรัฐบาลสหรัฐฯ แสดงความกังวลว่า การที่ประธานาธิบดีลงทุนในคริปโตอาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมองหาช่องทางทำกำไรจากตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง นอกจากนี้ ลักษณะของคริปโตที่ติดตามได้ยากยังสร้างความท้าทายต่อการบังคับใช้กฎหมายด้านจริยธรรม และอาจเป็นการส่งเสริมให้ชาวอเมริกันทั่วไปที่ไม่มีความมั่งคั่งเท่าเจ้าหน้าที่รัฐ หันมาลงทุนในสินทรัพย์คริปโตที่มีความผันผวนสูงโดยขาดความเข้าใจที่เพียงพอ
สำหรับนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายนี้ การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยมี รีวิวเหรียญ Altcoin ที่น่าสนใจในปี 2025 หลายตัวที่อาจเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ