XRP และ Ethereum มีทรัพยากรสำคัญร่วมกัน และนี่คือเหตุผลที่เป็นสัญญาณบวกต่อ XRP

XRP และ Ethereum ต่างก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันอย่างมากมาโดยตลอด หนึ่งคือเครือข่ายด้านการชำระเงินที่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดฝังอยู่ในดีเอ็นเอ อีกหนึ่งคือระบบสมาร์ตคอนแทรกต์ดั้งเดิมที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของวงการ แต่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา XRP ได้เข้าถึงทรัพยากรอันมีค่าที่สุดอย่างหนึ่งของ Ethereum ซึ่งนั่นคือ กลุ่มนักพัฒนาจำนวนมหาศาล

เรามาดูกันว่าการเชื่อมโยงกันครั้งนี้อาจจะเร่งศักยภาพการเติบโตระยะยาวของ XRP ได้อย่างไร

Sidechain ใหม่นี้คือการปลดล็อกครั้งใหญ่ แต่ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นอุปสรรคมานานคือ นักพัฒนาที่ต้องการสร้างสมาร์ตคอนแทรกต์หรือแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (dApps) บนเครือข่ายของ XRP จำเป็นต้องเรียนรู้เทคโนโลยีสแตกที่แตกต่างออกไป

แต่ด้วยอัปเดตล่าสุดของ XRP Ledger (XRPL) ทาง Ripple ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออก XRP ได้ตอบโจทย์นี้ด้วยการเปิดตัว Ethereum Virtual Machine (EVM) sidechain ซึ่งเปิดใช้งานบน mainnet ไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน โดยรองรับสมาร์ตคอนแทรกต์ที่เข้ากันได้กับ Ethereum อย่างเต็มรูปแบบ

ทันทีที่เปิดใช้งาน sidechain นี้ นักพัฒนาก็สามารถ deploy สมาร์ตคอนแทรกต์บน XRP ได้โดยใช้เครื่องมือชุดเดียวกับที่ใช้บน Ethereum ซึ่งนั่นหมายความว่า การนำแอปประเภท decentralized exchange (DEX) หรือโปรโตคอลการให้ยืมที่มีอยู่เดิมมาใช้งานบน XRP แทบจะเป็นงาน “ก็อปแปะ” เลยทีเดียว โดย XRP จะทำหน้าที่เป็นโทเคนก๊าซ (gas token) เพื่อชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ขณะที่โปรโตคอลบริดจ์จะทำหน้าที่ถ่ายโอนสินทรัพย์ระหว่าง sidechain กับ mainnet ของ XRPL เพื่อให้สภาพคล่องเดิมบนเครือข่ายยังสามารถเข้าถึงได้

โซลูชันนี้ถือว่าแยบยล เพราะสามารถรักษาความสามารถในการชำระเงินที่ราคาถูกมากและรวดเร็วของ XRPL เอาไว้ รวมถึงคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็ป้องกันเครือข่ายหลักจากภาระการประมวลผลหนัก ๆ และช่องโหว่ที่มักมากับสมาร์ตคอนแทรกต์แบบทั่วไป และที่สำคัญ มันทำให้การดึงดูดนักพัฒนาสมาร์ตคอนแทรกต์ฝีมือดีจาก Ethereum มาง่ายขึ้นมาก ดังนั้น โอกาสที่จะมีบางส่วนหันมาสร้างใน ecosystem ของ XRP แทน Ethereum จึงถือว่าเกือบจะแน่นอน โดยเฉพาะถ้ามีเงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีดอกกุหลาบใดที่ไร้หนาม

บริดจ์ยังคงเป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ชอบโจมตี และการแบ่งแยกสภาพคล่องระหว่าง sidechain อาจลดพลังของเครือข่ายลงได้ ถ้าผู้ใช้งานปฏิเสธที่จะย้าย หรือถ้าการโอนสินทรัพย์ระหว่าง mainnet กับ sidechain มีความยุ่งยากมากเกินไป

เรื่องจริงที่น่าสนใจคือ “นักพัฒนา”

ผลดีที่ XRP ได้รับจากการเข้าถึงชุมชนนักพัฒนาของ Ethereum นั้นยากที่จะประเมินค่าเกินจริง เพราะนี่คือกุญแจที่จะทำให้ ecosystem ของ XRP เติบโตได้ในระยะยาว และส่งมูลค่าของเครือข่ายขึ้นไปสูงตาม

ตัวเลขสามารถบอกเรื่องราวได้ดังนี้ โดย ณ ปลายเดือนกรกฎาคม ระบบนิเวศของ Ethereum มีนักพัฒนาที่ใช้งานอยู่ประจำเดือนราว 5,866 คน ขณะที่ชุมชนของ XRPL มีผู้มีส่วนร่วมราว 2,800 คน ณ เดือนมิถุนายน

สมมุติว่าเพียงแค่ 5% ของนักพัฒนาจาก Ethereum คิดว่าการย้ายโปรเจกต์มาลองบน XRPL EVM เป็นงานที่ทำได้ในช่วงสุดสัปดาห์ ก็เท่ากับมีนักพัฒนาหน้าใหม่ราว 293 คน เข้ามาทำงานบนเครือข่าย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นราว 10% จากฐานนักพัฒนาเดิมของ XRPL อย่างน้อยก็มีบางส่วนที่จะกลับมาสร้างอะไรใหม่ ๆ บนเครือข่ายอีกครั้ง โดยเฉพาะถ้ามีการจัดสรรทุนสนับสนุนรอบใหม่โดย Ripple ที่กระตุ้นให้พวกเขาทำเช่นนั้น และหาก sidechain นี้เติบโตขึ้นจนสามารถดึงดูดนักพัฒนา 10% ถึง 15% จาก Ethereum ได้จริง XRP ก็จะสามารถขยายฐานนักพัฒนาได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักบาทในการสรรหา

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญต่อ “นักลงทุน”?

กิจกรรมของนักพัฒนาเชื่อมโยงกับการสร้างมูลค่าให้กับเครือข่ายอย่างชัดเจน ยิ่งมีนักพัฒนาบนเครือข่ายมาก ก็ยิ่งหมายถึงมีแอปพลิเคชันมากขึ้น, ผู้ใช้มากขึ้น, ค่าธรรมเนียมธุรกรรมมากขึ้น, โปรเจกต์ DeFi ที่ล้ำหน้าเกิดขึ้นมากขึ้น และท้ายที่สุดคือ ความต้องการโทเคนดั้งเดิม ที่ใช้จ่ายค่าธรรมเนียมก็จะเพิ่มขึ้นด้วย พร้อมกับราคาของทั้งคู่ยังค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นอย่างน่าสนใจในช่วงที่ผ่านมา

ยังมีมุมของการแข่งขันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย วิศวกรซอฟต์แวร์ทุกคนที่มาทดลองเล่นกับ XRPL EVM ก็คือ 1 คนที่ไม่ได้ทุ่มเวลาทำโปรเจกต์บน Ethereum โดยตรง แม้ Ethereum จะมีแรงเฉื่อยที่แข็งแกร่งและมีสภาพคล่องลึก แต่ในหมู่นักพัฒนาแล้ว ความเป็นจริงคือพวกเขาค่อนข้าง “ปฏิบัตินิยม” พวกเขาจะมองหาค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า, การเริ่มต้นใช้งานที่ง่ายกว่า, และฐานผู้ใช้ใหม่ ๆ ซึ่ง XRPL สามารถมอบทั้ง 3 อย่างนี้ได้แล้วในตอนนี้

ดังนั้น ศักยภาพที่รออยู่จึงยากจะมองข้าม XRP ยังมีมูลค่าตลาดเพียงประมาณ 40% ของ Ethereum ในขณะนี้ แต่กลับเพิ่งปลดล็อกการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรบุคคลเดียวกัน หากแม้จะมีเพียงเศษเสี้ยวของกลุ่มผู้มีความสามารถเหล่านั้นย้ายมาร่วมด้วย เส้นโค้งการเติบโตของ ecosystem ก็อาจชันขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานใหม่สำหรับแนวโน้มตลาดที่เป็นขาขึ้นในระยะยาว

สำหรับนักลงทุน แม้การเปิดตัวนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโปรไฟล์ความเสี่ยงของ XRP โดยทันที แต่ก็ช่วยเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ ผู้ถือระยะยาวมีตัวเร่งใหม่ให้จับตาในรูปแบบของกิจกรรมนักพัฒนา ส่วนผู้ที่กำลังพิจารณาจะซื้อ ก็มีเหตุผลใหม่ที่สามารถชั่งน้ำหนักได้ชัดเจนมากขึ้น

ร่วมซื้อขายจัดการ XRP และ ETH ผ่าน Best Wallet

Best Wallet คือกระเป๋าคริปโตแบบไม่ต้องพึ่งตัวกลาง (non-custodial) ที่มอบการควบคุมสินทรัพย์ทั้งหมดไว้ในมือผู้ใช้ คุณเป็นเจ้าของคีย์ส่วนตัวเองทั้งหมด จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกล็อกบัญชีหรือการแฮกระดับแพลตฟอร์ม ตัวแอปยังเสริมความปลอดภัยด้วยการเข้าสู่ระบบแบบไบโอเมตริก และรองรับการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยสูงและไม่พึ่งพาบุคคลที่สามในการจัดเก็บสินทรัพย์

จังหวะการเปิดตัว EVM Sidechain บนเครือข่าย XRP ยิ่งตอกย้ำความโดดเด่นของ Best Wallet เพราะมันรองรับหลากหลายบล็อกเชนที่ใช้ Ethereum Virtual Machine ได้แบบครบวงจร รวมถึง XRP เองด้วย ผู้ใช้สามารถสลับ (swap) โทเคนข้ามเครือข่ายผ่าน DEX aggregator ที่ฝังอยู่ในแอป โดยไม่ต้องออกจากกระเป๋า หรือผ่านหลายแพลตฟอร์มให้ยุ่งยาก นั่นทำให้ Best Wallet กลายเป็นทางเลือกที่คล่องตัวและพร้อมใช้งานทันทีสำหรับทั้งนักลงทุนและนักพัฒนาที่ต้องการใช้งาน XRPL EVM ควบคู่กับระบบนิเวศ Ethereum อย่างไร้รอยต่อ