บิทคอยน์ & ทองคำ: ของมันต้องมี! พ่อรวยสอนลูกเตือน เตรียมสู้เงินเฟ้อ

บิทคอยน์ และ ทองคำ กลายเป็นสินทรัพย์หลักที่ Robert Kiyosaki ผู้เขียนหนังสือ พ่อรวยสอนลูก หันมาเน้นลงทุน หลังออกโรงเตือนถึงความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจเข้าสู่วิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่จากหนี้สาธารณะ คล้ายกับเหตุการณ์ตลาดหุ้นปี 1929 และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)
วิเคราะห์คำเตือน Robert Kiyosaki: วิกฤตหนี้สหรัฐฯ และเหตุผลที่ต้องถือ “บิทคอยน์”
Robert Kiyosaki ได้ชี้ให้เห็นถึงตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ เขาอธิบายว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่ยั่งยืน และการพิมพ์เงินเพื่อชำระหนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นที่จะนำไปสู่หายนะในที่สุด
ความคิดเห็นของ Robert เกิดขึ้นในช่วงที่หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ทะลุสถิติใหม่ โดยเฉพาะในเดือนนี้ที่หนี้เพิ่มขึ้นถึง 367 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดรวมพุ่งไปถึง 36.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตลอดกาล การเพิ่มขึ้นครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump ลงนามอนุมัติร่างกฎหมายการใช้จ่ายฉบับใหญ่ที่ขยายเพดานหนี้ขึ้นอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์
การเพิ่มเพดานหนี้ดังกล่าวได้รับการคาดการณ์ว่าจะช่วยให้รัฐบาลสามารถดำเนินการได้จนถึงปี 2027 โดยไม่ต้องเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ในช่วงนี้

หนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกำลังสร้างแรงกดดันที่มากขึ้นต่อการเงินของรัฐบาลกลาง โดยปัจจุบันการจ่ายดอกเบี้ยคิดเป็นสัดส่วนถึง 13% ของงบประมาณประจำปี และมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับมากกว่า $1 trillion ต่อปีภายในปี 2033
นักวิเคราะห์ชี้ว่าแนวโน้มดังกล่าวอาจบีบให้ต้องมีการปรับลดงบประมาณในส่วนสำคัญ เช่น Social Security, Medicare และการใช้จ่ายด้านกลาโหม แม้ในขณะที่ความตึงเครียดระดับโลกยังทวีความรุนแรงขึ้นก็ตาม

นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณเริ่มต้นของความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ โดย Kurt S. Altrichter จาก Ivory Hill Wealth ได้ชี้ให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ปัจจุบัน สินค้าคงคลังของบ้านเดี่ยวสร้างใหม่เพิ่มขึ้นจนแตะระดับที่สามารถรองรับความต้องการได้เกือบ 10 เดือน ซึ่งตัวเลขนี้มักจะปรากฏให้เห็นในช่วงก่อนหรือระหว่างที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
Jack Mallers ซึ่งเป็น CEO ของ Strike ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน โดยเขาได้โพสต์บน X ว่า หน่วยงาน U.S. Treasury ไม่มีทางเลือกที่แท้จริงหลงเหลืออยู่นอกจากการขยายฐานเงิน ซึ่งในความหมายที่ตรงไปตรงมาก็คือ การพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นอีก
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมองว่า บิทคอยน์ คือทางออกสำคัญในฐานะสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและการเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์ได้
มุมมองนี้สอดคล้องกับนักลงทุนชื่อดังคนอื่นๆ เช่น Warren Buffett และ Jim Rogers ที่เริ่มลดสัดส่วนการถือครองหุ้นและพันธบัตรเช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจในระบบการเงินแบบดั้งเดิม
ทองคำ: สินทรัพย์หลบภัยสุดคลาสสิกในมุมมองของพ่อรวยสอนลูก
นอกเหนือจากบิทคอยน์แล้ว Robert ยังคงย้ำถึงความสำคัญของ “ทองคำ” เช่นกัน ในฐานะสินทรัพย์หลบภัย (Safe Haven) ที่ผ่านการพิสูจน์มาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์การเงินโลก
เขามองว่าในยามที่ความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินของรัฐบาลสั่นคลอน ทองคำจะกลายเป็นเครื่องมือรักษามูลค่าที่แท้จริงและน่าเชื่อถือที่สุด
การที่เขากล่าวว่า “ผมยังคงนั่งนิ่งๆ กับทองคำ, เงิน และ บิทคอยน์” เป็นการตอกย้ำว่าทองคำยังคงเป็นส่วนสำคัญในพอร์ตการลงทุนของเขาเพื่อกระจายความเสี่ยง
แม้ว่า BTC จะถูกมองว่าเป็น ‘ทองคำดิจิทัล’ แต่คุณสมบัติทางกายภาพและความเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมานานหลายศตวรรษ ทำให้ ทองคำ ยังคงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการความมั่นคงสูงสุดในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ราคา “บิทคอยน์” เป็นอย่างไร ท่ามกลางความผันผวนของตลาด
แม้ว่า Robert จะสนับสนุนบิทคอยน์ในระยะยาว แต่ในระยะสั้น ราคา BTC ยังคงเผชิญกับความผันผวนอยู่บ้าง โดยล่าสุดมีการปรับตัวลดลงหลังจากไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญไปได้ ซึ่งนำไปสู่การล้างพอร์ต (Liquidations) ของนักลงทุนกลุ่มที่ใช้เลเวอเรจสูง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่าโครงสร้างระยะยาวของ BTC ยังคงเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน
แรงกดดันจากการพิมพ์เงินอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก เป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้บิทคอยน์มีความน่าสนใจมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง
ดังนั้น แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่มูลค่าพื้นฐานและกรณีการใช้งานของ BTC ในการเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง และเป็นเหตุผลหลักที่นักลงทุนอย่าง Robert Kiyosaki เลือกที่จะถือครองมันต่อไป