Bitcoin ยุคใหม่! นักลงทุนนิยมใช้กลยุทธ์ ETF+ถือเอง เสถียรกว่าเดิม!

Bitcoin (BTC) เติบโตภายใต้สองแนวทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนตลอดปีที่ผ่านมา ด้านหนึ่งคือกระแส ETF จากฝั่งสถาบันที่ใช้งานง่าย อีกด้านคือแนวคิดดั้งเดิมแบบ “ต้องถือเหรียญเอง ถึงจะเป็นเจ้าของจริง ๆ” ที่ผู้ใช้ยุคแรกยังยึดถือ ซึ่งแทนที่ตลาดจะเลือกเส้นทางเดียว นักลงทุนกลับผสมทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน
ในปี 2025 มุมมองใหม่จึงเริ่มชัดว่า กลยุทธ์ของ BTC ไม่ได้สร้างจากกลุ่ม maximalist หรือสถาบัน แต่เป็นการรวมข้อดีจากทั้งสองโลกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ETF: ประตูสู่ Bitcoin สำหรับคนรุ่นใหม่
ETF ทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าถึง BTC ได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องจัดการ private key และยังสอดรับกับระบบเกษียณหรือพอร์ตลงทุนแบบดั้งเดิม จึงกลายเป็นทางเลือกหลักของนักลงทุนหน้าใหม่อย่างรวดเร็ว
ระหว่างปี 2024–2025 มีกระแสเงินไหลเข้า ETF ถึงเดือนละ 4–6 พันล้านดอลลาร์ติดต่อกันหลายครั้ง ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินรวมพุ่งเข้าใกล้ 1.40 แสนล้านดอลลาร์ในกลางปี 2025 ซึ่งสะท้อนว่าเงินทุนสถาบันยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์ ETF อย่าง Eric Balchunas ยังตั้งข้อสังเกตว่า ETF แท้จริงแล้วก็เป็นการฝากเหรียญไว้กับผู้ดูแลสินทรัพย์คล้ายเว็บเทรด เพียงแต่ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าและมีความปลอดภัยเชิงกฎเกณฑ์มากกว่า จึงถูกใจผู้เล่นในระบบ TradFi นั่นเอง
Self-custody: เสน่ห์ของ Bitcoin ที่ไม่เคยหายไป
ในขณะที่ ETF เดินหน้าเติบโต ผู้ใช้ BTC รุ่นเก่าก็ยังยืนหยัดกับแนวคิด “ถือเอง = อิสระ” เพราะ ETF ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ถือใช้สิทธิถอนเหรียญออกมาได้เหมือนการเก็บใน wallet ส่วนตัว
Sam Wouters จาก River อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า บนเว็บเทรดเราสามารถถอนเหรียญเข้า wallet ได้ทุกเวลา แต่ ETF ไม่มีตัวเลือกนั้นเลย ทำให้สำหรับบางคน การถือ BTC ผ่าน ETF เทียบได้กับการ “ขังเหรียญไว้ในกรง”
ยุคใหม่ของกลยุทธ์คู่
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องการฝากหรือถือเหรียญเองก็ย้อนกลับไปที่คำถามสำคัญว่า ใครเป็นคนควบคุมสินทรัพย์กันแน่ ผู้ใช้งานยุคแรกอาจฝากเหรียญไว้บนเว็บเทรดได้ เพราะรู้ว่าถอนกลับมาเมื่อไรก็ได้ แต่ ETF ไม่ได้เปิดทางเลือกนั้น จึงเกิดแนวคิดตรงกลางที่หลายคนเริ่มใช้กัน นั่นคือการซื้อผ่าน ETF เพื่อความสะดวก แต่เก็บบางส่วนไว้ใน cold wallet เพื่อรักษาอำนาจการถือครองจริง
Fred Krueger มองว่าแนวทางที่เหมาะที่สุดคือใช้ทั้งสองแบบควบคู่กัน ซึ่งก็คือ ยอมรับการเติบโตของสถาบัน แต่ขณะเดียวกันก็ปกป้องสิทธิในการถือครองด้วยตัวเอง
นั่นทำให้นักลงทุนวันนี้ผสมทั้งความง่ายของ ETF และความมั่นใจจากการถือเอง จนเกิดรูปแบบการใช้ Bitcoin ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิมมาก
แม้ปี 2025 จะมีวันติดลบกว่า 171 วัน แต่บริษัทขนาดใหญ่ก็ยังถือ Bitcoin รวมกันมากกว่า 1 ล้าน BTC มากกว่าหลายเว็บเทรดเสียอีก ซึ่งช่วยสร้าง “ฐานพยุงราคา” แบบใหม่ให้ตลาด และทำให้บรรยากาศโดยรวมดูมั่นคงขึ้นกว่าที่คิด
ในตอนนี้ ผู้ให้บริการด้านเหมือง ผู้ดูแลสินทรัพย์ เว็บเทรด และผู้จัดการกองทุน ต่างทำงานสอดประสานกันมากกว่าในอดีต ทั้งสองรูปแบบของการถือครอง BTC จึงไม่ใช่คู่แข่งกัน แต่กำลังสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
Best Wallet: กระเป๋าคริปโตแบบ Non-Custodial ที่ให้คุณคุมเหรียญได้จริง ไม่ต้องง้อใคร
โลกคริปโตวันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องราคาอีกต่อไป แต่เป็นเรื่อง “ความเป็นเจ้าของ” และ “ความปลอดภัย” ของสินทรัพย์ดิจิทัลที่คุณลงทุนอย่างยากลำบาก ซึ่งนี่คือจุดที่ Best Wallet โดดเด่นกว่าใครในฐานะ non-custodial wallet ที่สร้างมาเพื่อให้ผู้ใช้งานถือคีย์เอง 100% — คุณคือเจ้าของตัวจริง ไม่มีใครมาแตะเหรียญคุณได้
Best Wallet จึงไม่ใช่แค่กระเป๋าคริปโต แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งกระเป๋าใบนี้รองรับเครือข่ายยอดนิยมทั้ง Bitcoin, Ethereum, Solana, BNB Chain, Polygon และอีกมากมาย ทำให้คุณจัดการพอร์ตคริปโตข้ามเชนได้แบบง่าย ๆ ในที่เดียว

ในช่วงปีที่ผ่านมา ข่าวเว็บเทรดถูกแฮ็ก ปิดบริการกะทันหัน หรือระงับการถอนถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การฝากเหรียญไว้กับคนอื่นมีความเสี่ยงเสมอ
แต่บน Best Wallet คุณคือผู้ถือ private key เองทั้งหมด หมายความว่า:
- เหรียญอยู่กับคุณ ไม่ใช่อยู่ในเซิร์ฟเวอร์คนอื่น
- ไม่มีใคร “ระงับการถอน” หรืออายัดบัญชีของคุณได้
- สินทรัพย์ยังปลอดภัยแม้แพลตฟอร์มล่มหรือปิดตัว
นี่คือหลักการ “Not your keys, not your coins” แบบเต็มรูปแบบ และ Best Wallet คือกระเป๋าที่ออกแบบมาเพื่อให้หลักการนี้ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
แนะนำให้อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่บทวิเคราะห์ Best Wallet รวมถึงติดตามกิจกรรมพิเศษได้ในเว็บไซต์ทางการของ Best Wallet และช่องทาง X หรือ Telegram