เลเวอเรจคืออะไร รู้จัก Leverage Ratio และเลเวอเรจควรเท่าไหร่สำหรับมือใหม่

ในแวดวงของการเทรดอาจมีศัพท์เฉพาะทางเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นก็คือ เลเวอเรจ หรือ Leverage ซึ่งมีส่วนช่วยที่จะทำให้การเทรดของคุณมีโอกาสที่จะได้กำไรมากขึ้น ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักว่าเลเวอเรจ คืออะไร และสำคัญยังไงในวงการเทรด
เรามีข้อมูลที่คุณควรรู้อื่น ๆ ที่จะช่วยให้เข้าใจความหมายคำนี้ได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีตัวอย่างของการเทรดเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายและเห็นภาพ รวมไปถึงคำถามที่พบบ่อยที่จะอาจจะตอบข้อสงสัยของคุณเกี่ยวกับซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยของการทำกำไรจากการเทรดนั้นมีหลายประการด้วยกัน รวมไปถึงสภาพตลอด ณ ขณะนั้น โดยจะต้องอาศัยการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพิ่มเติม
เลเวอเรจ คืออะไร? เปิดความหมายและกลไกสำคัญสำหรับมือใหม่ก่อนเริ่มเทรด
หากคุณเพิ่งเริ่มเข้าสู่โลกของการซื้อขายบนกระดานเทรดคริปโต หนึ่งในคำศัพท์ที่คุณจะต้องเจอแน่นอนก็คือ “เลเวอเรจ” แล้วเลเวอเรจ คืออะไร? ทำไมเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ถึงพูดถึงมันกันบ่อยนัก?
เครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้คุณสามารถเปิดออร์เดอร์ซื้อขายได้ในมูลค่าที่สูงกว่าทุนจริงที่คุณมีอยู่ในบัญชี หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็น พลังเสริม ที่ช่วยเพิ่ม “กำลังซื้อ” ของคุณในตลาด ยิ่งมีเลเวอเรจสูงเท่าไร คุณก็ยิ่งสามารถเทรดในปริมาณที่มากขึ้นได้ แม้จะใช้เงินเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินทุน 1,000 บาท และเลือกใช้เลเวอเรจ 1:10 นั่นหมายความว่าคุณสามารถเปิดออร์เดอร์ที่มีมูลค่าสูงถึง 10,000 บาทได้ กลไกนี้เป็นพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่า Margin Trading หรือการซื้อขายด้วยเงินประกัน (มาร์จิ้น) ที่โบรกเกอร์จะช่วย “ขยาย” ขนาดการลงทุนของคุณให้ใหญ่ขึ้นตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้
การใช้เลเวอเรจจึงเปรียบเสมือนการงัดไม้คานในทางกลศาสตร์ ซึ่งใช้แรงน้อยแต่ยกของหนักได้ แต่แน่นอนว่า ในโลกการเงิน ทุกพลังเสริมก็มาพร้อมความเสี่ยง เพราะถ้าตลาดเคลื่อนไหวผิดจากที่คุณคาด การขาดทุนก็จะถูกขยายในอัตราเดียวกับเลเวอเรจที่คุณเลือกใช้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ เลเวอเรจจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทั้งมี พลัง และ ข้อจำกัด โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ การเข้าใจแนวคิดพื้นฐานนี้อย่างถ่องแท้จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก่อนจะไปเรียนรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัดส่วนของเลเวอเรจ (Leverage Ratio) และวิธีเลือกใช้อย่างมีประสิทธิภาพในการเทรดจริง
Leverage Ratio คืออะไร? ถอดรหัส เลเวอเรจ 1:100, 1:500, และ 1:1000 ว่ามีความหมายอย่างไร
Leverage Ratio คืออะไร? ถอดรหัส เลเวอเรจ 1:100, 1:500, และ 1:1000 ว่ามีความหมายอย่างไร
เมื่อเข้าใจแล้วว่า เลเวอเรจคืออะไร ขั้นตอนต่อไปที่เทรดเดอร์มือใหม่ทุกคนต้องทำความเข้าใจให้ดี คือ Leverage Ratio หรือ อัตราส่วนของเลเวอเรจ ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าเงินทุนของคุณจะถูกขยายได้มากแค่ไหน
Leverage Ratio คืออะไร?
Leverage Ratio คือ อัตราส่วนที่บ่งบอกว่าเงินทุนของคุณ (ทุนจริง) จะสามารถ “งัด” หรือ “ขยาย” ได้เป็นกี่เท่า ตัวเลขนี้มักจะปรากฏในรูปแบบ 1:x เช่น
- เลเวอเรจ 1:100 คือ เทรดด้วยกำลังซื้อที่มากกว่าทุนจริง 100 เท่า
- เลเวอเรจ 1:500 คือ เทรดได้มากกว่าทุน 500 เท่า
- เลเวอเรจ 1:1000 คือ ขยายพลังการเทรดมากถึง 1,000 เท่า
สิ่งนี้มีผลโดยตรงต่อ Margin Requirement หรือเงินประกันที่คุณต้องวางไว้เพื่อเปิดสถานะ (Position) ในแต่ละครั้ง โดยคุณสามารถมองหาแพลตฟอร์มเทรดฟิวเจอร์คริปโตด้วยเลเวอเรจ 100 เท่าได้จากรีวิวผู้ใช้งานจริง หรือเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญ
ตัวอย่างง่าย ๆ: ถ้ามีเงิน $100 จะเปิดออเดอร์ได้เท่าไหร่?
| Leverage Ratio | ความหมาย | เงินทุนจริง ($) | กำลังซื้อสูงสุด (Position Size) | Margin ที่ใช้ (โดยประมาณ) |
| 1:100 | เทรดได้ 100 เท่าของทุนจริง | $100 | $10,000 | 1% |
| 1:500 | ขยายพลังเทรดเป็น 500 เท่าของเงินทุน | $100 | $50,000 | 0.2% |
| 1:1000 | เทรดได้สูงสุดถึง 1,000 เท่าของทุนจริง | $100 | $100,000 | 0.1% |
จุดสังเกต ยิ่งอัตราเลเวอเรจสูงก็จะยิ่งใช้ Margin น้อยลงในการเปิดออร์เดอร์ แต่ในขณะเดียวกันความเสี่ยงก็สูงขึ้นตามไปด้วย
กลไกของกำไรและขาดทุนภายใต้เลเวอเรจ
- หากตลาดขยับ ในทางที่คุณคาดไว้ กำไรก็จะถูกขยายตามอัตราเลเวอเรจ เช่น ขยับ 1% ที่เลเวอเรจ 1:100 อาจให้กำไรเท่ากับ 100%
- แต่หากตลาดขยับ ผิดทาง คุณอาจขาดทุนในอัตราเดียวกัน จนอาจโดน Margin Call (แจ้งให้เติมเงิน) หรือ Stop Out (ระบบปิดอัตโนมัติ) ได้เร็วมากขึ้น
ตัวอย่างการคำนวณ:
หากคุณมีเงิน $100 ต้องการเปิดออเดอร์มูลค่า $10,000
ต้องใช้เลเวอเรจ 1:100
Margin ที่ใช้ = 1% ของ $10,000 = $100 จะพอดีกับทุน
แต่ถ้าคุณใช้เลเวอเรจ 1:500 ดังนั้น Margin ที่ใช้ = 0.2% ของ $10,000 = $20 ซึ่งจะเหลือทุนอีก $80 ไว้รับแรงเหวี่ยงของตลาด หรือที่เรียกว่า Drawdown
แล้วควรเลือกเลเวอเรจเท่าไรดี?
ไม่มีคำตอบเดียวที่เหมาะกับทุกคน การเลือก เลเวอเรจ 1:100, 1:500, หรือ 1:1000 ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ความเข้าใจกลยุทธ์เทรดของคุณ
- ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง
- ขนาดของทุนเริ่มต้น
- และที่สำคัญที่สุดคือ “สภาพจิตใจ” ว่ารับความผันผวนได้มากน้อยแค่ไหน
เทรดเดอร์ที่เน้นความปลอดภัยอาจเลือกใช้เลเวอเรจต่ำ เช่น 1:50 หรือ 1:100 แต่เทรดเดอร์ที่ชำนาญและมีระบบควบคุมความเสี่ยงอาจกล้าใช้เลเวอเรจ 1:500 หรือสูงกว่านั้นในสถานการณ์เฉพาะ
มือใหม่เลเวอเรจ ควรเท่าไหร่ ? พร้อมวิธีจัดการความเสี่ยงและข้อควรระวัง
เมื่อเข้าใจแล้วว่า Leverage คืออะไร และ เลเวอเรจ 1:100, 1:500, หรือ 1:1000 ทำงานอย่างไร คำถามต่อมาสำหรับมือใหม่คือ “เลเวอเรจ ควรเท่าไหร่ดี ?” เพราะแม้ว่าเลเวอเรจจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ถ้าใช้ไม่เหมาะสม ก็อาจกลายเป็นกับดักที่ทำให้พอร์ตพังได้อย่างรวดเร็ว
แล้วเลเวอเรจ สําหรับมือใหม่เท่าไหร่ถึงจะพอเหมาะ?
เลเวอเรจ สําหรับมือใหม่ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับความเข้าใจและประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่มีเลเวอเรจที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนถึงแม้จะใช้บอทเทรดคริปโตก็ตาม เพราะการเลือกเลเวอเรจที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สไตล์การเทรด ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง และความมั่นคงทางอารมณ์
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น แนะนำให้ใช้เลเวอเรจในช่วง 1:50 ถึง 1:200 เพราะยังให้กำลังซื้อที่เพียงพอสำหรับการเปิดสถานะ แต่ยังควบคุมความเสี่ยงได้ง่ายกว่าเลเวอเรจที่สูงมากอย่าง 1:500 หรือ 1:1000 ซึ่งอาจเพิ่มแรงเหวี่ยงของตลาดจนยากต่อการจัดการ หากยังไม่มีระบบป้องกันความเสี่ยงที่ชัดเจน
ข้อดีของการใช้เลเวอเรจ
การใช้เลเวอเรจ (Leverage) อย่างเหมาะสมสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและเพิ่มประสิทธิภาพของเงินทุนที่มีอยู่
ใช้เงินทุนน้อยก็สามารถเปิด Position ใหญ่ได้
เลเวอเรจเปรียบเสมือนเครื่องทวีคูณกำลังซื้อของนักเทรด ทำให้คุณสามารถควบคุมสัญญาซื้อขายขนาดใหญ่โดยใช้เงินทุนเพียงเล็กน้อย เช่น หากคุณมีทุนเพียง $100 และใช้เลเวอเรจ 1:100 คุณจะสามารถเปิดออร์เดอร์ที่มีมูลค่าถึง $10,000 ได้ ซึ่งช่วยให้ผู้เริ่มต้นสามารถเข้าสู่ตลาดฟอเร็กซ์ได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอสะสมทุนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ยิ่งเลเวอเรจสูง ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มตาม จึงควรเลือกใช้อย่างเหมาะสมกับประสบการณ์และแผนการเทรดของตน
เพิ่มโอกาสในการทำกำไร
เลเวอเรจสามารถขยายผลตอบแทนจากการเทรดให้มากกว่าที่เงินทุนของคุณรองรับได้ หากคุณวางแผนการเทรดอย่างรัดกุม วิเคราะห์ทิศทางตลาดได้แม่นยำ และตั้งจุดตัดขาดทุนอย่างเหมาะสม การใช้เลเวอเรจจะช่วยให้ผลกำไรเติบโตเร็วกว่าการเทรดแบบไม่ใช้เลเวอเรจ โดยเฉพาะในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวชัดเจน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังคือ เมื่อผลกำไรขยาย ความเสียหายก็สามารถขยายตามเช่นกัน หากตลาดไม่เป็นไปตามคาด
มีความยืดหยุ่นในการบริหารพอร์ต
การมีเลเวอเรจอยู่ในมือทำให้คุณสามารถบริหารเงินทุนอย่างยืดหยุ่นมากขึ้น แทนที่จะนำเงินทั้งหมดไปผูกไว้กับออร์เดอร์เดียวกับเหรียญคริปโตที่น่าลงทุน คุณสามารถแบ่งทุนบางส่วนไว้ใช้สำหรับการตั้ง Stop Loss ที่กว้างขึ้น การเปิดหลายออร์เดอร์ในสินทรัพย์ที่หลากหลาย หรือแม้แต่รองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในตลาดได้ การใช้เลเวอเรจจึงไม่ใช่แค่เรื่องการขยายออร์เดอร์ แต่ยังเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในภาพรวมของพอร์ตอีกด้วย
ประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์หลากหลาย
กลยุทธ์การเทรดบางประเภทต้องอาศัยการเปิด–ปิดออร์เดอร์บ่อยครั้ง หรือทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กมาก เช่น Scalping หรือ Intraday Trading การใช้เลเวอเรจจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การเทรดเหล่านี้ “คุ้มค่า” ในเชิงผลตอบแทน เพราะหากไม่ใช้เลเวอเรจ กำไรจากการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่จุดอาจไม่ครอบคลุมค่าธรรมเนียมเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์เหล่านี้ควรมาพร้อมแผนควบคุมความเสี่ยงที่ชัดเจน เช่น การตั้ง Stop Loss ที่แม่นยำ หรือใช้ปริมาณออร์เดอร์ที่เหมาะสมกับพอร์ตของตน
ข้อเสียของการใช้เลเวอเรจ
แม้เลเวอเรจจะให้พลังขยายผล แต่หากใช้โดยไม่ระวัง ก็อาจทำให้เกิดผลขาดทุนรุนแรงหรือ ล้างพอร์ต ได้เช่นกัน
ขาดทุนรุนแรงหากตลาดตีกลับ
แม้เลเวอเรจจะช่วยให้คุณเปิดออเดอร์ขนาดใหญ่ได้จากเงินทุนน้อย แต่ต้องไม่ลืมว่า หากราคาขยับสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้ ผลกระทบต่อเงินทุนของคุณจะรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย ยิ่งใช้เลเวอเรจสูงเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งไม่ต้องขยับมาก คุณก็อาจขาดทุนจนพอร์ตพังได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวนที่เกิดแรงเหวี่ยงหนัก การไม่มีแผนรับมือเมื่อกราฟวิ่งผิดทางคือจุดเริ่มต้นของการล้างพอร์ตที่แท้จริง
ความเสี่ยงจาก Over-leveraging
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยสำหรับมือใหม่ คือการหลงใช้เลเวอเรจสูงเกินไป ด้วยความเข้าใจผิดว่ามันคือทางลัดสู่กำไรที่มากขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้ว เลเวอเรจสูงทำให้คุณเทรดด้วยเงินจำนวนมากกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ควบคุมความเสี่ยงยากขึ้น และไม่มีช่องว่างพอให้พอร์ตทนทานต่อความผันผวนใด ๆ เมื่อขาดการวางแผนและควบคุมความเสี่ยง ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือการสูญเสียเงินทุนทั้งหมดในเวลาอันสั้น
ความเครียดและการเทรดตามอารมณ์
การเทรดด้วยเลเวอเรจสูงเปรียบเหมือนการเล่นรถไฟเหาะทางอารมณ์ แค่ราคาขยับเพียงเล็กน้อย พอร์ตของคุณอาจบวกแรงหรือลบหนักได้ทันที ซึ่งส่งผลต่อจิตใจของเทรดเดอร์โดยตรง มือใหม่ที่ยังไม่ชินกับแรงเหวี่ยงของตลาด อาจเกิดอาการแพนิค กลัวขาดทุน หรือโลภเกินไปจนตัดสินใจผิดพลาด เช่น ปิดออเดอร์เร็วเกินไป หรือถัวเฉลี่ยขาลงโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้แผนการเทรดพัง และกลายเป็นความเสี่ยงในระยะยาว
ต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี
เลเวอเรจไม่ใช่สิ่งที่อันตราย หากคุณรู้จักใช้มันอย่างมีวินัย การตั้ง Stop Loss อย่างชัดเจน การคำนวณขนาด Position ให้เหมาะกับขนาดพอร์ต และการกำหนดระดับความเสี่ยงต่อออเดอร์ล่วงหน้า ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณรอดพ้นจากการล้างพอร์ต แม้ในวันที่ตลาดจะเคลื่อนไหวอย่างคาดไม่ถึง อย่ามองว่าเลเวอเรจเป็นเครื่องมือเร่งรวย แต่ให้มองว่ามันคือมีดคมที่คุณต้องฝึกใช้ให้คล่องมือก่อนที่จะหั่นอะไรใหญ่ ๆ
เลเวอเรจ ไม่จํากัดคืออะไร?
เลเวอเรจ ไม่จํากัด (Unlimited Leverage) คือเครื่องมือที่โบรกเกอร์บางเจ้ามอบให้กับเทรดเดอร์หรือแพลตฟอร์ม Bitcoin Wallet โดยอนุญาตให้เปิด Position ได้ใหญ่มาก แม้จะใช้ Margin เพียงเล็กน้อย เช่น มีเงินแค่ $1 ก็สามารถเทรดได้ในขนาดเท่ากับหลายพันดอลลาร์ ความได้เปรียบของระบบนี้คือช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องกลยุทธ์การเทรดระยะสั้น เข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละวินาที และสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ดีในระดับจิตวิทยาและระบบเทรดจริง
อย่างไรก็ตาม สำหรับมือใหม่ เลเวอเรจไม่จำกัดถือเป็นดาบสองคมที่อันตรายที่สุด เพราะแม้โอกาสจะเพิ่มขึ้น แต่ความเสี่ยงก็พุ่งขึ้นเท่าตัว หากราคาตลาดเคลื่อนไหวผิดทางเพียงเล็กน้อยก็อาจโดนล้างพอร์ตในพริบตา ที่สำคัญคือระบบนี้มักไม่เหมาะกับผู้ที่ยังไม่มีแผน Stop Loss ที่แม่นยำหรือยังไม่มีวินัยในการควบคุมอารมณ์การเทรด เพราะแม้การเปิดออเดอร์จะง่าย แต่การเอาตัวรอดให้พอร์ตอยู่รอดได้ต่างหากคือของจริงในโลกของ Unlimited Leverage
วิธีจัดการความเสี่ยงเมื่อใช้เลเวอเรจ
ไม่ว่าคุณจะใช้เลเวอเรจระดับไหนก็ตามหรือเป็นเลเวอเรจ สําหรับมือใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ซึ่งควรครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้
- ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง: อย่าเปิดออเดอร์โดยไม่มีจุดตัดขาดทุน เพราะนั่นคือสูตรลัดสู่การล้างพอร์ต
- ใช้ Risk-to-Reward Ratio ที่สมดุล: โดยทั่วไปควรอยู่ที่ 1:2 หรือมากกว่า เพื่อให้ความเสี่ยงที่เสียไปคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ได้
- คำนวณขนาด Position อย่างเหมาะสม: ใช้ Position Sizing Strategy เพื่อให้ความเสี่ยงต่อออเดอร์แต่ละรายการไม่เกิน 1–2% ของพอร์ตทั้งหมด
- หลีกเลี่ยงการ Over-trade: อย่าหลงกลความสามารถของเลเวอเรจ จนเปิดออเดอร์มากเกินไปในเวลาเดียวกัน
เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับมือใหม่
เริ่มจากบัญชีทดลองก่อนเสมอ อย่าพึ่งใช้เงินจริงทันที ลองฝึกกลยุทธ์และการบริหารเลเวอเรจ สําหรับมือใหม่ในบัญชีเดโมก่อน เพื่อดูว่าคุณสามารถจัดการกับความผันผวนได้แค่ไหนโดยไม่เสียเงินจริง
- อย่าหมดหน้าตักในออร์เดอร์เดียว: แบ่งพอร์ตไว้ให้มีเงินเหลือสำรอง เลือกเลเวอเรจ ควรเท่าไหร่ ป้องกันการล้างพอร์ตจากความผันผวนระยะสั้น
- ติดตามข่าวและปฏิทินเศรษฐกิจ: ข่าวใหญ่สามารถทำให้ตลาดเหวี่ยงแรง ยิ่งถ้าใช้เลเวอเรจสูงยิ่งต้องระวัง เช่น ตัวเลขดอกเบี้ย NFP หรือ GDP
- เทรดให้น้อยแต่เน้นคุณภาพ: ไม่จำเป็นต้องเข้าเทรดทุกวัน มือใหม่มักจะ “เทรดเยอะเกิน” จนลืมควบคุมความเสี่ยง เลือกจังหวะที่มั่นใจและมี R:R ที่คุ้มเท่านั้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Leverage