KYC คืออะไรและสำคัญอย่างไรในตลาดคริปโต?

KYC ในวงการคริปโต
มีความหมายและการใช้งานคล้ายกับกระบวนการ KYC ของการเงินแบบดั้งเดิม โดยเป็นคำที่ย่อมาจาก Know Your Customer พร้อมครอบคลุมวิธีการมากมายในการยืนยันตัวตน นอกเหนือจากการตรวจสอบโดยทั่วไป
หากคุณเคยเปิดบัญชีธนาคาร คุณน่าจะยืนยัน KYC สำเร็จเมื่อคุณแสดงใบขับขี่หรือบัตรประจำตัวประชาชน นายหน้าค้าหุ้นแบบดั้งเดิมมีข้อกำหนดในการตรวจสอบตัวตนที่คล้ายกันเช่นกัน และตอนนี้ถึงคราวที่ตลาดคริปโตจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด KYC ที่ถูกใช้ทั่วโลก
KYC คืออะไร?
ความหมายของ KYC ในบริบทของตลาดคริปโตหมายถึงการตรวจสอบตัวตน การติดตาม และการรายงานสัญญาผูกมัดสำหรับผู้ให้บริการทางการเงิน รวมถึงกระดานแลกเปลี่ยนคริปโต แต่จริงๆ แล้ว KYC ในแวดวงคริปโตคืออะไรกันแน่? KYC ย่อมาจาก Know Your Customer โดยมีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านการฟอกเงิน (AML) กระบวนการนี้มีทั้งการยืนยันตัวตนและการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ให้บริการทางการเงินต้องรับผิดชอบภายใต้กระบวนการยืนยัน KYC นั่นเอง
ด้วยการตรวจสอบยืนยันตัวตนและการรายงาน KYC จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจจับกิจกรรมการฉ้อโกงหรือธุรกรรมที่ผิดกฎหมายและระบุผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนด KYC ยังทำหน้าที่ในการยับยั้งและป้องกันการฉ้อโกงหรือกิจกรรมที่ผิดกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น
หากเจาะลึกลงไปอีก KYC ยังกลายเป็นเครื่องมือสำหรับรัฐบาลในการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (CFT) ในอเมริกา เช่น FinCEN ที่มุ่งเน้นไปที่นโยบาย AML/CFT เป็นสำคัญ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับข้อกำหนด KYC
แนวทางมากมายสำหรับการนำ KYC ไปใช้ทั่วโลกต่างใช้งานข้อกำหนดที่ออกโดย Financial Action Task Force (FATF) ซึ่งเป็นองค์กรข้ามชาติที่ก่อตั้งในปี 1989 โดยกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศซึ่งต้องการต่อต้านการฟอกเงินและสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
Centralized Exchange ส่วนใหญ่ตอนนี้ต้องการให้ผู้ใช้ยืนยันตัวตนก่อนที่จะสามารถทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มได้ กระดานเทรดอื่นอาจต้องการยืนยัน KYC ในการทำธุรกรรมที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ส่วน Centralized Exchange อีกจำนวนหนึ่งมักจะดำเนินการภายใต้เขตอำนาจศาลที่มีข้อบังคับที่เข้มงวด และไม่จำเป็นต้องยืนยัน KYC
อธิบายกระบวนการ KYC บนกระดานเทรดคริปโต
เหรียญคริปโตนั้นถูกออกแบบในระบบนิเวศแบบกระจายอำนาจ และจากมุมมองของผู้ใช้ กระบวนการ KYC โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับการให้ข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ จากนั้นจึงจัดเตรียมหลักฐานแสดงตัวตน โดยคุณอาจต้องระบุหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณอยู่ ตัวอย่างเช่น กระดานเทรดที่ต้องการยืน KYC สำหรับผู้อยู่อาศัยในอเมริกา โดยทั่วไปจะต้องใช้หมายเลขประกันสังคม และระบบหลังบ้านของกระดานเทรดนั้นๆ จะตรวจสอบข้อมูลที่คุณให้มา โดยบางครั้งจะใช้บริการตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นเพื่อใช้อ้างอิงข้อมูลด้วยเช่นกัน
โดยทั่วไป กระบวนการยืนยัน KYC ให้เสร็จสมบูรณ์จะใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที อย่างไรก็ตาม ก็อาจใช้เวลานานกว่านั้นได้ โดยคุณอาจสามารถใช้งานได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หรืออาจต้องรอหนึ่งหรือสองวันจึงจะสามารถทำธุรกรรมได้ ตัวอย่างเช่น Coinbase ที่แนะนำลูกค้าใหม่ว่ากระบวนการยืนยัน KYC อาจใช้เวลาประมาณ 10 นาทีถึง 48 ชั่วโมงจึงจะเสร็จสมบูรณ์ –
1) การรวบรวมรายละเอียดส่วนบุคคล
ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับกระบวนการ KYC มักจะรวมถึงชื่อและที่อยู่และวันเกิดของคุณ บางแพลตฟอร์มยังจำเป็นต้องใช้ที่อยู่อีเมลและหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเช่นกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นวิธีรักษาความปลอดภัยให้กับบัญชีของคุณได้เช่นกัน

2) การยืนยันตัวตน
การยืนยันตัวตนมักจะต้องใช้ภาพใบขับขี่ บัตรประจำตัวประชาชนที่ออกโดยรัฐบาล หรือพาสปอร์ต คุณอาจต้องจัดเตรียมใบเรียกเก็บเงินค่าสาธารณูปโภคหรือหลักฐานแสดงที่อยู่อื่นๆ ร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มและรูปแบบบัตรประจำตัวที่คุณให้ไว้ ตัวอย่างเช่น ใบขับขี่ระบุที่อยู่เอาไว้ แต่การระบุตัวตนในรูปแบบอื่นๆ เช่น พาสปอร์ตอาจไม่ระบุที่อยู่เอาไว้

บางแพลตฟอร์มคริปโตที่ต้องการยืนยัน KYC ยังใช้การตรวจสอบ “ภาพปัจจุบัน” ซึ่งเป็นวิธีเปรียบเทียบภาพจริงของคุณกับบัตรประจำตัวประชาชนที่คุณให้ไว้ หากจำเป็นต้องทำขั้นตอนนี้ คุณจะใช้กล้องโทรศัพท์หรือเว็บแคม และขยับศีรษะให้อยู่ภายในบริเวณที่ทำเครื่องหมายไว้โดยแอพยืนยันตัวตน
3) การติดตามผลระหว่างการดำเนินงาน
สถาบันการเงินจะมีชุดความเสี่ยงตามข้อมูลที่รวบรวมไว้ แหล่งที่มาของเงินอาจมีบทบาทในการกำหนดชุดความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
หลังจากที่คุณยืนยันตัวตนเสร็จสิ้นแล้ว กระดานแลกเปลี่ยนคริปโตจะตรวจสอบบัญชีตามข้อกำหนด พร้อมอัพเดตชุดความเสี่ยง และดำเนินการเพิ่มเติมตามข้อมูลที่ให้ไว้ ที่จริงแล้วกระบวน KYC ในตลาดคริปโตนั้นไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ตัวตนของคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรู้จักลูกค้าในด้านการเงินด้วยเช่นกัน
การติดตามผลระหว่างการดำเนินงานจะรวมถึง:
- การระบุธุรกรรมที่น่าสงสัย
- รายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย
- การอัพเดตข้อมูลลูกค้า
ข้อดีของการปฏิบัติตามกระบวนการ KYC ในตลาดคริปโต
แม้ว่าบางคอมมิวนิตี้คริปโตจะต้องการเทรดโดยไม่ต้องยืนยันตัวตนมากกว่า แต่การปฏิบัติตาม KYC สามารถช่วยทำให้ตลาดคริปโตปลอดภัยยิ่งขึ้นอย่างมาก การยืนยันตัวตนและการประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ KYC จะช่วยลดการฉ้อโกงและกิจกรรมที่น่าสงสัย แต่ยังทำให้ตลาดมั่นคงขึ้นได้อีกด้วย
การปฏิบัติตามกฎหมาย
ข้อกำหนดต่างๆ อาจทำให้กิจกรรมบนกระดานแลกเปลี่ยนหยุดชะงักทางอ้อม (หรือโดยตรง) หากทางกระดานไม่ทำตามข้อกำหนดและอยู่ภายในเขตอำนาจศาลของหน่วยงานรัฐ สำหรับผู้ใช้ สิ่งนี้อาจหมายถึงการระงับการฝากเงินและอาจย้ายเงินทุนไปเมื่อเทรดเดอร์ออกจากกระดานแลกเปลี่ยน
ตัวอย่างเช่น Binance.US ที่ระงับการฝากเงินด้วยสกุลดอลลาร์ ซึ่งต่อมาถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ฟ้องร้อง เป็นผลให้กระดานเทรด Binance อเมริกามีความลึกของตลาดลดลง 80% กล่าวโดยสรุป คือปริมาณการสั่งซื้อของกระดานเทรดนั้นลดลงไปมาก ซึ่งอาจส่งผลให้เทรดเดอร์ต้องการซื้อหรือขายเหรียญได้น้อยลงไป แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เชื่อมโยงโดยตรงกับข้อกำหนด KYC แต่ก็ตอกย้ำให้เห็นว่าสถาบันทางการเงินสามารถทำอะไรได้บ้างภายในเขตอำนาจศาลที่ดำเนินการอยู่
ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น
KYC ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ได้อีกด้วย โดยจะช่วยเพิ่มความไว้วางใจเมื่อกระดานเทรดดำเนินการภายใต้ข้อกำหนด KYC ซึ่งถือเป็นประโยชน์ในการดึงดูดผู้ใช้ใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการเทรดบนแพลตฟอร์มได้นั่นเอง
เพิ่มความเสถียรของตลาด
การปั่นตลาดอาจเป็นปัญหาในการเทรดเหรียญคริปโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระดานแลกเปลี่ยนที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักซึ่งไม่ได้ทำงานภายใต้ข้อกำหนด KYC/AML เพื่อทำให้กิจกรรมบนแพลตฟอร์มเป็นไปอย่างถูกต้อง การซื้อขายโดยไม่ระบุตัวตนสามารถทำให้เกิดการปั่นตลาดที่ทำให้นักเทรดที่ซื่อสัตย์สูญเสียเงินไปได้
- การปั่นตลาดแบบ Spoofing: หมายถึงการสร้างอุปสงค์ปลอมโดยการวางคำสั่งซื้อปลอมเอาไว้ในรายการคำสั่งซื้อขาย และอีกด้านหนึ่ง Spoofing ยังสามารถใช้เพื่อสร้างแรงกดดันในการขายปลอมเพื่อกดราคาของเหรียญคริปโตในกระดานแลกเปลี่ยนได้อีกด้วย
- การปั่นตลาดแบบ Wash Trading: คำว่า Wash Trading หมายถึงการขายเหรียญให้ตนเองหรือการซื้อขายกันเองภายในกลุ่ม เป็นการสร้างกิจกรรมการซื้อขายปลอมเพื่อควบคุมราคาของเหรียญคริปโต
ประเภทของกิจกรรมการซื้อขายเหล่านี้สามารถระบุได้ง่ายกว่าในกระดานแลกเปลี่ยนที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนด KYC ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการปั่นตลาดได้นั่นเอง
ความท้าทายและข้อเสียของกระบวนการ KYC ในตลาดคริปโต
ใช่ว่าทุกคนจะชื่นชอบการยืนยัน KYC ในโลกคริปโต ส่วนหนึ่งของเสน่ห์ของเหรียญคริปโตในช่วงแรกก็คืออิสรภาพในการทำธุรกรรม ซึ่งนักวิจารณ์หลายคนยังชี้ให้เห็นถึงข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่กระบวน KYC ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมทั้งในด้านเวลาและเงิน
ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
KYC ในตลาดคริปโตต้องมีการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล แต่ใครบ้างที่สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้? และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหากข้อมูลดังกล่าวตกไปอยู่ในมือของผู้ที่อาจกระทำผิดทางอาญา ซึ่งขัดแย้งกับแนวทางที่ต้องการปกป้องสังคมของ KYC
การละเมิดข้อมูลกลายเป็นเรื่องธรรมดามากจนเราแทบจะไม่ตื่นตกใจเมื่อถูกพาดหัวข่าว การละเมิดอีเมลเป็นอีกเรื่องที่ควรพูดถึง เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้ Robinhood กว่าเจ็ดล้านคน
แต่ข้อมูล KYC ที่รวบรวมไว้อาจเพียงพอที่จะขโมยข้อมูลตัวตนได้ และก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแต่อย่างใด ในเดือนมกราคม 2024 กระดานแลกเปลี่ยนของอิหร่านมีรายงานว่าเอกสาร KYC ถูกละเมิด ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ 230,000 รายตกอยู่ในความเสี่ยง ทางกระดานแลกเปลี่ยนออกมาปฏิเสธเรื่องการละเมิดเอกสาร แต่จะจริงหรือไม่ ตัวรายงานก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นภายใต้กระบวนการ KYC นั่นเอง
ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวของ KYC อาจส่งผลกระทบต่อหน่วยงานอื่นด้วยเช่นกัน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2023 ทาง Financial Conduct Authority (FCA) อังกฤษออก “กฎหมายป้องกันการฟอกเงินสำหรับคริปโต” ซึ่งจำเป็นต้องมีการรายงานเกี่ยวกับการโอนสินทรัพย์คริปโต
เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน
กระบวนการ KYC ใช้เวลานานมากกว่าที่คิด ในสถานการณ์ที่ดีที่สุด กระดานเทรดคริปโตอาจให้คุณใช้งานได้ภายในหนึ่งชั่วโมง แต่กลับต้องเวลามหาศาลเพื่อรายงานและการติดตามข้อกำหนดภายใต้กระบวนการ “Know Your Customer” และ “การต่อต้านการฟอกเงิน”
มีราคาและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
การทำให้ส่วนของกระบวนการ KYC ในตลาดคริปโตเป็นไปแบบอัตโนมัตินั้นไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไปในด้านกระบวนการเริ่มต้นใช้งาน ความล่าช้านี้อาจนำไปสู่การสูญเสียลูกค้าเนื่องจากเทรดเดอร์อาจไม่พอใจและเลือกใช้แพลตฟอร์มอื่น ทั้งยังเป็นการทำให้ลูกค้าใหม่เข้าถึงได้ยากอีกด้วย นอกจากนี้ ข้อกำหนดในการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องของ KYC ยังก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
ใครเป็นคนจ่าย? คำตอบก็คือลูกค้านั่นเอง กระดานเทรดคริปโตอยู่รอดได้ด้วยค่าธรรมเนียมและค่าสเปรด โดยค่าสเปรดถือเป็นการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมบนอินเทอร์เฟซการซื้อขายที่เรียบง่าย ค่าธรรมเนียมและค่าสเปรดที่สูงขึ้นนั้นแสดงให้เห็นว่า KYC อาจเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มรายได้ให้กับกระดานเทรดนั่นเอง
ทางเลือกสำหรับการเทรดโดยไม่ต้องผ่าน KYC
KYC นั้นเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญต่อการใช้งานตลาดซื้อขายคริปโต อย่างไรก็ตาม มันยังมีอยู่บางวิธีที่คุณจะสามารถเทรดเหรียญคริปโตโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน และยังคงสามารถเก็บข้อมูลความเป็นส่วนตัวของคุณเอาไว้ได้ แต่สิ่งที่ต้องทราบก็คือ ตัวเลือกบางส่วนเหล่านี้มีก็มีข้อที่จะต้องพึงระวัง รวมถึง ในบางส่วนก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่นกัน ต่อไป เราจะมาดูบางตัวเลือกที่คุณสามารถเลือกใช้งานได้กัน
1. Decentralized Exchange (DEX)
Decentralized Exchange (DEX) หรือ “กระดานเทรดแบบกระจายศูนย์” คือตลาดซื้อขายแบบ Peer-to-Peer ที่ผู้ใช้งานสามารถเทรดคริปโตได้โดยไม่ต้องผ่านผู้ดูแลทรัพย์สิน และไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางเพื่ออำนวยความสะดวกในการโอนและดูแลทรัพย์สิน โดย DEX จะใช้ Smart Contracts ของบล็อกเชน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเทรดทรัพย์สินแทน
โดยทั่วไปแล้ว มันจะเป็นการจับคู่กันของเหรียญคริปโตหลายสกุล เทรดเดอร์จะสามารถเข้าถึงกองสินทรัพย์เหล่านั้นเพื่อทำการเทรดหรือแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่พวกเขาต้องการได้ DEX ส่วนใหญ่ เช่น Uniswap หรือ Curve Finance ไม่จำเป็นต้องยืนยันตัวตนผ่านกระบวนการ KYC และจะไม่มีการขอข้อมูลส่วนตัวแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม คุณจำเป็นที่จะต้องมีเหรียญคริปโตที่ DEX นั้นๆ รองรับ โดยที่ตัว DEX จะทำการสวอปเหรียญคริปโต (เปลี่ยนจากเหรียญ A เป็นเหรียญ B) โดยตรงผ่าน Crypto Wallet ของคุณ
2. แพลตฟอร์มเทรดต่างๆ ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตนผ่าน KYC
นอกจากนี้แล้ว ยังมีแพลตฟอร์มเทรดอยู่บางส่วนที่คุณสามารถทำการเทรดคริปโตได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนผ่าน KYC แต่อย่างไรก็ดี มันก็อาจจะมาพร้อมกับข้อจำกัดบางส่วนในบัญชีของคุณ เช่น ขีดจำกัดการถอนรายวัน เป็นต้น นอกจากนี้ แพลตฟอร์มเทรดที่ไม่ต้องผ่าน KYC ยังอาจจะนำมาซึ่งปัญหาอื่นๆ อีกด้วย เช่น:
- ความพร้อมใช้งานที่อาจจะแตกต่างกันไปตามสถานที่ โดย IP Address จากบางประเทศอาจจะถูกบล็อกจากกระดานเทรดได้
- แพลตฟอร์มเทรดที่ไม่ต้องยืนยัน KYC อาจจะไม่มีการร่วมมือกับธนาคาร ทำให้การฝากเงินเข้าบัญชีซื้อขายของคุณยากขึ้นหรือมีค่าใช้เพิ่มจ่ายมากขึ้น
- แพลตฟอร์มเทรดที่ไม่ต้องยืนยัน KYC อาจจะมีกิจกรรมการซื้อขายน้อยลง (เช่นเดียวกับสภาพคล่อง) ซึ่งอาจจะนำไปสู่ค่าสเปรดที่กว้างขึ้น หรือแม้แต่ความคลาดเคลื่อนของราคาที่มากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับตลาดซื้อขายทั่วไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับเทรดเดอร์จำนวนมาก สิ่งที่แพลตฟอร์มเทรดเหล่านี้มอบให้นั้นอาจจะนับว่าคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการเทรดได้อย่างรวดเร็ว หรือ ความปลอดภัยจากการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของคุณ ฯลฯ และต่อไปนี้คือรายชื่อของแพลตฟอร์มเทรดที่ไม่ต้องยืนยัน KYC บางส่วน
Best Wallet
แพลตฟอร์มเทรดที่จะช่วยให้คุณสามารถเทรดหรือสวอปคริปโตจากในกระเป๋าเงินคริปโตของคุณได้อย่างง่ายดายด้วย Best DEX ที่คุณไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ KYC ก็สามารถเทรดคริปโตได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส
Best Wallet เป็นกระเป๋าเงินคริปโตที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน มาพร้อมกับอินเตอร์เฟสที่ใช้งานได้ง่าย ซึ่งจะช่วยให้คุณซื้อ แลกเปลี่ยน รับ และขายเหรียญคริปโตต่างๆ เช่น Bitcoin, Ethereum, Solana และ USDT ได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ Best Wallet รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 1,000 สกุลบนบล็อกเชนหลักกว่า 50 แห่ง ทำให้มันเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดในการจัดการและแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลของคุณ
Margex
คือกระดานเทรดคริปโตที่มาพร้อมคุณสมบัติที่โดดเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การให้เลเวอเรจในบางคู่เทรดที่สูงถึง 100 เท่า, ค่าคอมมิชชั่นในการเทรดที่ต่ำเพียง 0.06%, หรือที่สำคัญที่สุด คุณยังสามารถเทรดบน Margex ได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการ KYC ที่ยุ่งยากและวุ่นวายอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของ Margex ก็คือ พวกเขาไม่รองรับการซื้อขายคริปโตแบบ Spot แต่พวกเขาเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในเรื่องของตลาด Perpetual Futures ซึ่งนิยมใช้โดยเทรดเดอร์รายวันและเทรดเดอร์แบบสวิง นอกจากนี้ พวกเขายังมีฟีเจอร์ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่อย่าง Copy Trading ที่จะช่วยลอกเลียนแบบการซื้อขายของเทรดเดอร์ประสบการณ์สูงที่ใช้แพลตฟอร์ม Margex ได้ในแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำกำไรได้โดยไม่ต้องศึกษาตลาดด้วยตัวเอง (ถึงแม้ว่าเราจะแนะนำให้คุณศึกษาข้อมูลด้วยตัวคุณเองทุกครั้งก็ตาม)
Exodus Wallet
จะเก็บ Private Key และข้อมูลธุรกรรมของคุณไว้ในอุปกรณ์ของคุณเองเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยสูงสุด ถึงแม้ว่าจะไม่มีฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง เช่น การยืนยันตัวตน 2 ชั้น หรือ โค้ดเบสแบบโอเพ่นซอร์ส แต่คุณก็สามารถเชื่อมต่อกับกระเป๋าเงิน Trezor เพื่อการป้องกันที่ดียิ่งขึ้นได้
เช่นเดียวกับ Best Wallet กระเป๋าเงิน Exodus ก็จะช่วยให้คุณสามารถเทรดคริปโตได้โดยตรงจากภายในกระเป๋าเงินของคุณ โดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือทำการยืนยันตัวตนใดๆ เพิ่มเติม อีกทั้งยังรองรับสกุลเงินคริปโตกว่า 300+ สกุล ทำให้มันเป็นหนึ่งในกระเป๋าเงินที่ใช้งานได้ง่ายและสะดวกเป็นอย่างยิ่ง
BingX
เป็นตลาดซื้อขายคริปโตที่มีเอกลักษณ์ช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับเทรดเดอร์ชั้นนำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับเงินลงทุนของคุณ ด้วยเครือข่าย Crypto Social Trading Network คุณจะไม่ต้องเทรดเพียงลำพังอีกต่อไป คุณจะมีแบบจำลองเพื่อใช้เป็นพื้นฐานสำหรับกลยุทธ์ของคุณ นอกจากนี้ คุณยังสามารถคัดลอกกลยุทธ์ของเทรดเดอร์มือฉมังได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
ด้วยค่าธรรมเนียมการฝากเงินที่ไม่มีและค่าธรรมเนียมที่ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม BingX จึงโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ นอกจากนี้ เพียงแค่สมัครบัญชีโดยใช้อีเมลและรหัสผ่าน คุณก็พร้อมเทรดได้ทันที ไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ KYC แต่อย่างใด แต่หากคุณต้องการใช้สกุลเงินเฟียต คุณอาจจะต้องมีการให้ข้อมูลบางส่วนแก่ผู้ให้บริการบุคคลที่ 3 เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นมากมาย BingX จึงเป็นแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเทรดคริปโตแพลตฟอร์มหนึ่ง
MEXC
คือกระดานเทรดคริปโตแบบรวมศูนย์ (CEX) ที่ให้บริการผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก พร้อมรองรับการใช้งานในภาษาท้องถิ่นหลายภาษา ด้วยปริมาณการซื้อขายหลายพันล้านดอลลาร์ กระดานเทรดคริปโตแบบรวมศูนย์รายนี้จึงสามารถมอบสภาพคล่องที่ลึกให้กับเหล่าเทรดเดอร์ที่ทำการซื้อขายทั้งในแบบสปอตและฟิวเจอร์ส
ถึงแม้ว่าจะเป็น CEX แต่คุณก็สามารถเทรดบน MEXC ได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการ KYC เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการยืนยันตัวตนเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการเพิ่มขีดจำกัดในการถอน คุณจะต้องทำการยืนยัน KYC ให้เสร็จเรียบร้อย โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ การยืนยันตัวตนพื้นฐาน และการยืนยันตัวตนขั้นสูง
นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่นๆ นอกเหนือจากที่ได้กล่าวไปอยู่อีกบางส่วนที่ช่วยให้คุณสามารถซื้อขายคริปโตโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน เช่น
ตู้ ATM คริปโต
ตู้ ATM คริปโตไม่ต้องการการยืนยันตัวตน KYC สำหรับธุรกรรมส่วนใหญ่ แต่เครื่องตู้ ATM คริปโตส่วนใหญ่จะต้องการเพียงหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่รองรับ SMS เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมขนาดใหญ่อาจต้องมีการระบุตัวตนอยู่
อย่างไรก็ตามความเป็นส่วนตัวก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ค่าธรรมเนียมและค่าสเปรดสำหรับตู้ ATM คริปโตอาจสูงถึง 25% ทำให้เป็นตัวเลือกที่มีราคาแพงกว่านั่นเอง
กระดานเทรดแบบเพียร์ทูเพียร์
แพลตฟอร์มเช่น Bisq เสนอตลาดแบบเพียร์ทูเพียร์เพื่อแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์หรือสกุลเงินอื่นๆ เป็นบิทคอยน์และเหรียญคริปโตสกุลอื่น ๆ ที่รองรับ Centralized Exchange จำนวนมากยังมีแพลตฟอร์มแบบเพียร์ทูเพียร์ เช่น Binance อย่างไรก็ตาม Binance ต้องการยืนยัน KYC เพื่อใช้งานแพลตฟอร์มการซื้อขายแบบเพียร์ทูเพียร์
อนาคตของกระบวนการ KYC ในตลาดคริปโต
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงโลกของเหรียญคริปโตที่กระบวนการ KYC ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกรรมของเชน เช่น ระบบ Fiat On-Ramp และ Off-Ramp อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาก็กำลังมองหาวิธีใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้กระบวนการราบรื่น ลดต้นทุนในการปฏิบัติตามข้อกำหนด และเวลาที่ต้องใช้ในการยืนยัน KYC
AI สามารถช่วยตรวจสอบและค้นหารูปแบบเพื่อทำเครื่องหมายสำหรับตรวจสอบได้ ตัวอย่างเช่น C3 AI ที่ใช้เทคโนโลยี Machine Learning เพื่อตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัย โดยข้อมูลของบริษัทแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ปลอมจากการแจ้งเตือนการฟอกเงิน AML ลดลงไป 85% ในขณะที่มีการตรวจจับกิจกรรมการฟอกเงินเพิ่มขึ้นสามเท่า

การยืนยันตัวตนโดยใช้ Blockchain ก็อาจเกิดขึ้นในอนาคตของเราเช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ KYC-Chain ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ KYC ในฮ่องกง โดยทางบริษัทใช้แหล่งข้อมูลกว่า 10,000 แห่งเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้รายใหม่ แต่สิ่งที่อยู่ในแผนการพัฒนานั้นอาจน่าสนใจกว่า

แผนในอนาคตสำหรับ KYC-Chain จะรวมถึงข้อมูลประจำตัวบน Blockchain ซึ่งอาจช่วยให้การตรวจสอบเร็วขึ้นมาก เครื่องมือยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (eKYC) เช่น การรับรองความถูกต้องทางชีวภาพและการรวบรวมข้อมูลการรู้จำอักขระด้วยแสง (OCR) จากเอกสาร ล้วนสามารถเสริมข้อมูลประจำตัวบน Blockchain และเพิ่มประสิทธิภาพได้
Blockchain และ AI เป็นสองเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มที่จะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายของกระบวนการ KYC ได้มากที่สุด เทคโนโลยีที่ยังคงพัฒนาอยู่เหล่านี้สามารถลดต้นทุนของกระบวนการ KYC ได้อย่างมาก และยังช่วยดึงดูดผู้ใช้ใหม่ได้เร็วยิ่งขึ้น โซลูชันที่ใช้ประโยชน์จาก Blockchain ซึ่งอาจรวมถึงกลุ่มเครือข่ายสำหรับผู้ให้บริการทางการเงิน ยังสามารถเป็นวิธีการใหม่ๆ ในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้อีกด้วย
บทสรุป
บทบาทของ KYC ในตลาดคริปโตนั้นเป็นมากกว่าการยืนยันตัวตน ซึ่งเป็นวิธีที่พบบ่อยที่สุดในตอนที่กระบวนการ KYC เริ่มใช้งานครั้งแรก โดยระบบหลังบ้าน KYC ถือเป็นกระบวนการที่ต้องมีการตรวจสอบและการรายงานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากระบวนการดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับหลักการของเหรียญคริปโตเพื่อให้ช่วยรักษาอธิปไตยทางการเงิน
แต่เป้าหมายของกระบวนการ KYC ก็มุ่งเน้นไปที่การป้องกันตลาดคริปโตเพื่อไม่ให้เป็นสถานที่สำหรับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายหรือการให้ทุนสนับสนุนของผู้ก่อการร้ายกระบวนการดังกล่าวยังคงมีค่าใช้จ่ายและใช้เวลานาน แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันอาจเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาได้ กระบวนการ KYC บน Blockchain รวมเข้ากับ AI จะสามารถทำให้การยืนยันเร็วขึ้นและมีราคาถูกลง ในขณะเดียวกันก็ปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
คำถามที่พบบ่อย
KYC ในตลาดคริปโตคืออะไร?
KYC ในตลาดคริปโตคือกระบวนการที่รวมถึงการตรวจสอบตัวตน การประเมินความเสี่ยง และการติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่มาจากมาตรการป้องกันการฟอกเงิน (AML) นอกเหนือจากมาตรการที่ออกแบบมาปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการ
กระดานเทรดคริปโตทั้งหมดต้องยืนยัน KYC หรือไม่?
ไม่ แม้ว่ากระดานแลกเปลี่ยนคริปโตส่วนใหญ่ต้องยืนยัน KYC เพื่อทำตามข้อกำหนดในพื้นที่ แต่กระดานแลกเปลี่ยนหลายแห่งรวมถึง MEXC ไม่ต้องการการยืนยันตัวตน KYC ในการทำธุรกรรม อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการอื่นๆ สำหรับแพลตฟอร์มเหล่านี้อาจมีการกำหนดใช้ KYC ในการซื้อเหรียญคริปโตที่ถูกฝากเข้าบัญชีของคุณ
คุณต้องยืนยัน KYC เพื่อซื้อเหรียญคริปโตหรือไม่?
แพลตฟอร์มเทรดคริปโตส่วนใหญ่ต้องยืนยัน KYC ในการซื้อขาย และมีตัวเลือกน้อยมากที่จะสามารถซื้อเหรียญคริปโตด้วยสกุลเงินทั่วไป เช่น USD หรือ GBP แพลตฟอร์มแบบเพียร์ทูเพียร์ เช่น Bisq และตู้ ATM คริปโตเป็นอีกวิธีในการซื้อเหรียญคริปโตโดยไม่ต้องยืนยัน KYC
เหตุผลที่ทำให้ KYC สำคัญสำหรับกระดานแลกเปลี่ยนคริปโตคืออะไร?
กระบวน KYC จะรวมถึงการตรวจสอบตัวตนและการประเมินความเสี่ยง ตลอดจนการติดตามและการรายงานอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างนี้ทำงานร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงของกิจกรรมที่น่าสงสัยในกระดานแลกเปลี่ยนคริปโต และจะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่สามารถซื้อขายได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งจะดึงดูดกิจกรรมการซื้อขายได้มากขึ้น พร้อมด้วยสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นและมีค่าสเปรดที่ลดลง
คุณสามารถหลีกเลี่ยงกระบวนการ KYC ในตลาดคริปโตได้อย่างไร?
คุณสามารถหลีกเลี่ยงกระบวนการ KYC ในตลาดคริปโตได้โดยทำธุรกรรมแบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P) ซึ่งร่วมถึงการชำระด้วยเหรียญคริปโตหรือซื้อเหรียญคริปโตผ่านกระดานเทรดแบบเพียร์ทูเพียร์ อีกหนึ่งตัวเลือกคือการซื้อเหรียญคริปโตผ่านตู้ ATM ซึ่งโดยทั่วไปจะอนุญาตให้ซื้อได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดโดยใช้เพียงหมายเลขโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
อ้างอิง
- วาระแห่งชาติในการต่อต้านการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (fincen.gov)
- ข้อกำหนดของ FATF (fatf-gafi.org)
- คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (treasury.gov)
- ยืนยันตัวตนบน Coinbase (coinbase.com)
- การประเมินด้านการปฏิบัติภายใต้ข้อกำหนดของ BSA (ffiec.gov)
- Binance.US – ประกาศของเราถึงลูกค้า (twitter.com)
- ก.ล.ต. ฟ้อง Binance และผู้ก่อตั้ง Changpeng Zhao รวม 13 คดี (sec.gov)
- Binance.US มีความลึกของตลาดลดลง 78% หลังถูก ก.ล.ต. ฟ้อง (theblock.co)
- แอพเทรด Robinhood ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดข้อมูลผู้ใช้กว่าเจ็ดล้านคน (bbc.com)
- FCA คาดหวังให้ธุรกิจคริปโตในอังกฤษที่ปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันการฟอกเงินสำหรับคริปโต (fca.org)
- เหตุใดผู้ค้า P2P บางรายจึงกำหนดให้ผู้ใช้ยืนยันตัวตนเพิ่มเติม (binance.com)
- ปรับปรุงการตรวจจับการฟอกเงินผ่านการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (c3.ai)
- KYC-Chain – Blockchain และการธนาคารที่ปฏิบัติตามข้อบังคับ KYC / AML (kyc-chain.com)